๒. พระราชวังที่ยังคงบูรณะ
และพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น
หลังจากซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังเคียงบ๊อก อย่าเพิ่งรีบร้อนผ่านประตูตรงดิ่งเข้าไปด้านใน ลองเยี่ยมหน้ามองไปยังด้านหลังประตูทางเข้า
จะเห็นชั้นหนังสือวางหลบมุมอยู่... หนังสือเล่มบาง ๆ
อธิบายถึงประวัติความเป็นมา และลักษณะของสถาปัตยกรรมตัวพระราชวังได้อย่างน่าสนใจ ขณะเดินเที่ยวชม หากกางหนังสือเล่มนี้ไปด้วย จะช่วยให้สังเกตเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่แอบซุกซ่อนได้ไม่น้อยเลยเชียว
ปุจฉา... ถามเล่น ๆ
ทำไมถึงวางหนังสือในมุมอับอย่างนี้หนอ
วิสัชฉนา... ตอบเล่น ๆ แบบเดาสุ่ม.. ใครใจร้อน ใจเร็ว รีบเร่งนัก ให้ผ่านแล้ว ผ่านไป ใครที่เรื่อย ๆ มา เรียง ๆ ย่อมได้เจอกัน
ฉันถามเอง
ตอบเอง อย่างนี้แล้วกัน
ตรงบริเวณด้านในหลังประตูทางเข้ามีระเบียงทางเดินขนานไปกับแนวกำแพง แวะนั่งพักตรงนั้น
ยังไม่รีบร้อนฝ่าเปลวแดดตรงไปยังอาคารหลังแรก ลองเปิดหนังสือเล่มบาง ๆ นั้นออกดู
ปกด้านในแสดงแผนภาพพระราชวัง.... มองผ่านอย่างรวดเร็ว ผังโครงสร้างคล้ายคลึงพระราชวังต้องห้ามของจีน....
นั่นคือแยกพื้นที่พระราชวังออกเป็นลานสี่เหลี่ยมย่อยๆ แต่ละลานล้อมกั้นด้วยแนวกำแพง และเชื่อมต่อถึงกัน
ด้วยประตูผ่านเข้าออก ตัวอาคารด้านหน้า
มีขนาดใหญ่โอ่อ่า ทรงความสำคัญ ก่อนที่จะลดหลั่นขนาด และโอบล้อมด้วยอาคารหลังเล็กกว่า
คล้ายบริวารที่รายรอบไปตามลำดับชั้น นับเป็นผังการก่อสร้างตามวิถีแบบตะวันออก
ที่มีจีนเป็นแม่ใหญ่ ที่ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ตามลำดับชั้น
ประชาชนย่อมสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์เจ้าผู้ปกครอง
ผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่าให้ความนบนอบต่อผู้ที่สูงศักดิ์กว่า
ลูก หลาน ให้ความเคารพต่อบิดา
ภรรยาเคารพสามี
สรวงสวรรค์ กษัตริย์ บิดา ครูบาอาจารย์ เป็นที่เคารพ กราบไหว้ในสังคม
นอกจากลักษณะของแผนผังแล้ว มองไปที่หลังคา.....
ไม่ว่าจะหลังคาตรงประตูกำแพง
หรือตัวอาคาร ล้วนมีขนาดใหญ่ และมีลักษณะโค้งงอนขึ้นทั้ง
๔ ด้าน นี่เป็นลักษณะที่รับอิทธิพลเต็ม ๆ จากจีนอีกแล้ว ว่าไปแล้วก็ละม้ายคล้ายกันไปหมดทั้ง
จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม เกาหลี
รับไปแล้วก็ไปปรับใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของตน เวลานั่งมองหลังคาพวกนี้ฉันชอบนึกเปรียบเป็นหมวกใบใหญ่
หมวกพวกนี้เป็นหมวกปีกกว้างเพื่อกันฝนไม่ให้สาด
ไหลซึมเข้าไปในตัวอาคารที่สร้างจากไม้ นอกจากนี้ มุมที่แหงนสูงขึ้นทั้งสี่ด้านยังช่วยเปิดรับแสงสว่างจากด้านนอก
และช่วยให้ทัศนวิสัยการมองจากด้านในออกไปด้านนอกดีขึ้น
ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งเเป็นข้อสุดท้าย
และเป็นข้อที่ฉันชอบมากที่สุด
ไม่ได้เป็นเหตุผลทางปัจจัยใช้สอย
แต่เป็นเหตุผลทางรูปลักษณ์ ความงาม
หลังคาที่แอ่นโค้งขึ้นทำให้ตัวอาคารคล้ายนก...
นกที่เชิดหัวขึ้นสูงทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังคาตรงประตูทางเข้าภายในพระราชวัง โค้งงอนขึ้นทั้งสี่ด้าน
เหมือนนกที่เชิดหัวขึ้นสูงทะยานบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
|
รูปปั้นสัตว์ประดับบนสันหลังคา เชื่อว่าช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย |
เข้าสู่พื้นที่ด้านใน....
ตำหนักพระราชวังที่อยู่บริเวณด้านหน้าใหญ่โตโอ่อ่า
หากเมื่อเข้าไปเยี่ยมชมด้านใน พบว่าการตกแต่งภายในของแต่ละตำหนักเรียบง่าย กระทั่งตำหนักท้ องพระโรงสำหรับกษัตริย์เสด็จออกว่าราชการ
และต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ที่น่าจะวิจิตรบรรจงที่สุด
ยังดูธรรมดา
ความเรียบง่ายนี้เป็นความตั้งใจ
ด้วยพระราชวังแห่งนี้เป็นพระราชวังในยุคราชวงศ์โชซอนที่นับถือลัทธิขงจื้อใหม่ ลัทธิขงจื้อใหม่เชื่อว่าอำนาจที่แท้ของกษัตริย์นั้นเกิดจากคุณธรรม
และความเที่ยงธรรมในการปกครองประเทศ
พระราชวังของกษัตริย์จึงควรโอ่อ่า แต่มิควรอวดโอ่ เพราะเท่ากับข่มประชาชนของตนเอง (ฉันชอบแนวคิดนี้จังเลย)
หลังจากเดินชมดู พบว่าในความเรียบง่ายนั้นมีเสน่ห์
ลองพินิจดูรูปแกะสลักที่ตั้งประดับตามกำแพงมุมเสาต่าง
ๆ จะพบสัตว์ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ตามคติความเชื่อ เต่า เสือ มังกร นกยูง และยังผสมด้วยสัตว์อีก 12 ราศี
ทั้งหมดแกะสลักในลักษณะกลมมน อ้วน
ๆ ป้อม ๆ ใบหน้าใส่จินตนาการละม้ายหน้าคน
ที่สำคัญทุกตนจมูกใหญ่มาก ทำให้ใบหน้าดูตุ่ย ๆ บางหน้าก็ดูเจ้าเล่ห์เสียอย่างนั้น
ช่างไม่ดุดันกันเสียเลย ทำให้การตั้งอยู่ของรูปปั้นแกะสลักคล้ายเพียงเพื่อปราม ไม่ได้ตั้งใจข่มขู่ให้เกรงกลัว
นั่นยิ่งเสริมความเรียบง่ายของตัวพระราชวังให้มีความเป็นมิตรยิ่งขึ้น
ในหมู่สัตว์แกะสลัก ตัวที่ใหญ่ท้วน น่ารักที่สุด ต้องยกให้สัตว์พื้นเมืองที่เรียกว่า Seosu คุณ Seosu นั้นแยกตัวจากบรรดาเพื่อน
ๆ นอนผึ่งอยู่บนขอบสะพาน
ลักษณะเป็นสัตว์บกผสมน้ำ มีขาสองขา
และหางแบบหางปลา..... แว่บแรกที่เห็นตัวอุ้ย ๆ
ให้นึกถึงฟาลคอร์ เจ้ามังกรนำโชค
พาหนะของอัทเทรอูในหนังสือเรื่องจินตนาการไม่รู้จบ ที่นึกถึงไม่ใช่อะไร เห็นลำตัวอ้วน
ๆ ยาว ๆ น่าเอ็นดูคล้าย ๆ กัน
ส่วนด้านหลังของพระราชวัง
พื้นลานไม่กว้างขวางเหมือนบริเวณด้านหน้า เป็นส่วนที่พักอาศัย
ภายในลานประกอบด้วยอาคารหลัก และอาคารรองที่รายล้อม แสดงถึงประมุขของบ้าน ที่ห้อมล้อมด้วยบริวาร
บริเวณนี้แอบอวดความก้าวหน้าทางวิทยาการในยุคราชวงศ์โชซอนให้เห็นจากนาฬิกาแดดที่วางแสดงอยู่
และเมื่อเดินผ่านไปยังด้านหลังเป็นสวนระเบียง
สะดุดตาด้วยปล่องไฟที่ก่อจากอิฐสีส้ม เรียงรายเป็นแถว สีส้มกับสีเขียวอ่อนของต้นไม้
และสีชมพูสดของดอกอาซาเลีย ทำให้สวนสว่างด้วยสีสัน .... และจากตรงนั้น
เดินทะลุไปอีกนิด เหมือนหลุดออกจากเขตพระราชวังโดยไม่รู้ตัว
คล้ายเข้าสู่สวนสาธารณะผืนใหญ่ ที่คนเกาหลีเอง พาลูกหลานมานั่งเล่นปิคนิค
และพักผ่อน แต่หากเดินไปเรื่อย ๆ จะยังคงเห็นอาคาร ป้ายแสดงข้อมูล และพื้นที่กั้นปิดล้อมในบางจุด จึงรู้ว่ายังอยู่ในพื้นที่เขตพระราชวังนั่นแหละ
แต่หลายส่วนอยู่ระหว่างซ่อมแซม และก่อสร้างขึ้นใหม่
คนเกาหลีใต้นั้นเปรียบประเทศของตน
ประหนึ่ง “กุ้งกลางฝูงปลาวาฬ”
ด้วยลักษณะที่ตั้งล้อมด้วยประเทศมหาอำนาจอย่างจีน
รัสเซีย และญี่ปุ่น จึงถูกรุกรานมาโดยตลอด เหมือนกุ้งที่พร้อมจะถูกปลาวาฬกินเป็นอาหาร
จนในที่สุดถูกยึดครอง และตกอยู่ภายใต้การปกครองโดยญี่ปุ่นเป็นเวลานานกว่า 30
ปี ตัวพระราชวังเคียงบ๊อกเอง
โดนญี่ปุ่นเผาทำลายเสียหาย ต้องค่อย ๆ
บูรณะขึ้นมาใหม่ ประตูกำแพงพระราชวังด้านหน้าที่มีทหารในชุดสีสันสดใสยืนประจำการ
เพิ่งจะบูรณะเสร็จเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง การที่รู้สึกเหมือนจู่ ๆ
เดินหลุดออกจากเขตพระราชวัง จึงไม่แปลก พระราชวังแห่งนี้ยังบูรณะไม่เสร็จ
ไม่มีแนวกำแพงด้านหลังให้สังเกต
ทั้งอาคารด้านหลังเมื่อพ้นจากตำหนักของกษัตริย์และราชินีไปแล้ว ทิ้งช่วงระยะห่าง....
เหมือนปลีกแยกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสวนกว้าง
มากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง....
คุณ Seosu สัตว์บกผสมน้ำ นอนผึ่งบนกำแพง
|
Geunjeongjeon
Hall : ตำหนักท้องพระโรงสำหรับกษัตริย์เสด็จออกว่าราชการและต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
|
ด้านหน้าทางเข้าตำหนักท้องพระโรง เต็มไปด้วยรูปแกะสลักที่ตั้งประดับตามกำแพงมุมเสาต่าง
ๆ
|
ใบหน้าของรูปปั้นแกะสลักจะละม้ายคล้ายหน้าคน จมูกจะใหญ่มากเป็นพิเศษ |
นาฬิกาแดด |
ตำหนักที่ประทับกษัตริย์ เรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง |
จังหวะของสถานที่
ต้นไม้ และพื้นที่ว่าง...ประสานรวมกันกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ชวนรื่นรมย์ ภาพเด็ก ๆ วิ่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่
โดยมีพ่อกับแม่นั่งมองดูอย่างผ่อนคลายนั้นสะท้อนให้เห็นภาพนั้นเป็นอย่างดี
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี
(The National Folk Museum of
Korea) ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งเรียนรู้นี้ รูปลักษณ์ของอาคารดึงดูดความสนใจด้วยหลังคาซ้อนแบบเจดีย์
5 ชั้นสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นเด่นแต่ไกล
เมื่อพ้นกำแพงด้านหลัง เข้าสู่พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่
|
สวนกว้างด้านหลังที่ร่มรื่น |
ศาลา Hyangwonjeong ที่ปรากฏให้เห็น
ทำให้รู้ว่ายังอยู่ในบริเวณเขตพระราชวัง
|
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้จำกัดพื้นที่เฉพาะภายในอาคาร
หากพื้นที่รอบ ๆ นับเป็นส่วนหนึ่งของงานแสดงเช่นกัน ขณะที่ตรงดิ่งจะเข้าชมภายในอาคาร
เหลือบเห็นลานวงกลม วางรูปแกะสลักหิน 12
สัตว์ปี
ที่ร่างเป็นมนุษย์ในชุดพื้นบ้านเกาหลี หากศรีษะเป็นสัตว์ทั้ง 12 ชนิด ความสูงของรูปแกะสลักประมาณหน้าอก ทำให้เหมือนเด็กตัวน้อย ๆ
ที่ยืนล้อมเป็นวงกลม รูปลักษณ์ตัวน้อย ๆ
นั้น ดูจะถูกใจนักท่องเที่ยวที่ยืนออผลัดกันถ่ายรูปคู่กับสัตว์ปีเกิดของตนเอง
ระบบการนับ
12 สัตว์ปีเป็นหนึ่งรอบมีต้นกำเนิดจากจีนก่อนแพร่ไปยังเกาหลี
ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว เขมร และหยุดที่ไทย ไปไม่ถึง พม่า ศรีลังกา และอินเดีย ยิ่งทางตะวันตกยิ่งไม่รู้จักใหญ่ รู้จักแต่ระบบการนับ 12 ราศีประจำเดือน
ฉันจำได้ว่าเคยดูรายการแข่งขันรายการหนึ่งของอเมริกา
ที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องตอบว่าสัตว์ประจำปีเกิดของตนคือสัตว์อะไร ยังจำสีหน้าผู้เข้าแข่งขันได้ว่างุนงงแค่ไหน.... และ ตอบคำถามนั้นไม่ได้
นั่นทำให้ฉันจำได้อย่างแม่นยำว่าตะวันตกไม่รู้จัก 12 สัตว์ปี
รูปแกะสลักหิน 12 สัตว์ปี
|
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งชาติเกาหลี
|
พิพิธภัณฑ์นั้นมีหลายประเภท ... พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี
แต่หน้าที่หลัก ๆ ล้วนไม่แตกต่างนั่นคือ รวบรวมวัตถุสำคัญ สงวนรักษา และจัดวางแสดง
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านของเกาหลีมุ่งที่จะแสดงถึงขนบธรรมเนียม
และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาหลี
ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน วัตถุที่วางแสดงจึงมิใช่วัตถุล้ำค่า
แต่เป็นข้าวของเครื่องใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันของยุคสมัยต่าง ๆ
ขณะเดินย่ำในพิพิธภัณฑ์ใดๆ ไ
ม่ว่าที่ไหน
สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นคือความเหมือนของมนุษย์ที่ไม่ว่าจะอยู่อาศัย ณ ทีใดของโลกจะคิดค้นสิ่งของเครื่องใช้
เครื่องประดับ ที่มีรูปแบบและหน้าที่ใช้สอยที่คล้ายคลึง ยิ่งถ้าถอยเวลาย้อนกลับไปไม่ไกล ข้าวของเครื่องใช้พวกนั้น ณ ที่มุมใด ๆ ของโลก
ไม่ได้แค่ละม้าย.... แต่เหมือนกันเลย ขณะที่เดิน ๆ อยู่
ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านจึงหยุดเท้ากันกึก เมื่อเห็น จักรเย็นผ้า ตู้เก็บของ
โทรศัพท์บ้าน และของใช้จิปาถะอื่น
ที่เหมือนกับที่เคยจับต้องเมื่อสมัยยังเด็ก.....
นอกจากวิถีประจำวัน
ภายในพิพิธภัณฑ์ ยังแสดงให้เห็นประเพณีการละเล่นของแต่ละท้องถิ่น.... และเฉกเช่นเดียวกับข้าวของเครื่องใช้ ประเพณีการละเล่นในแต่ล่ะวัฒนธรรมโลก
ล้วนมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกัน
การละเล่นสวมหน้ากากของที่นี่ ทำให้ฉันนึกถึงการละเล่นผีตาโขนของบ้านเรา
ย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า มนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ที่ใด มีวิธีคิด และการกระทำ
ไม่ต่างจากกัน
พ้นจากอาคาร
ออกมาเดินเล่นรอบ ๆ
ถนนสู่อดีต
จำลองสภาพบ้านเรือน ความเป็นอยู่ในยุคสมัย 1970 -1980 ให้ได้สัมผัสจริง
ๆ ไม่ใช่แค่จัดแสดงอยู่ในอาคาร
หากเดินไปเรื่อย
ๆ จะพบที่ตั้งแสดงรูปปั้นหินแกะสลักที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเชจู รูปปั้นพวกนี้เรียกว่ารูปแกะสลักหินปู่
เป็นรูปปั้นชายแก่สวมหมวกหน้าตาใจดี ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนผู้พิทักษ์เกาะ....
ยืนมองดี ๆ แล้วก็เห็นขันตรงที่จมูกของหินปู่ใหญ่เชียว ถึงจะตั้งอยู่บนเกาะห่างไกลออกไป
แต่จมูกของรูปแกะสลักมีขนาดใหญ่ไม่แพ้กับรูปแกะสลักในกรุงโซลเลย
รูปแกะสลักจำลองหินปู่ สัญลักษณ์ของเกาะเชจู |
บรรยกาศด้านนอกเขตพระราชวังและพิพิธภัณฑ์ |
เกาหลีใต้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมวัฒนธรรมของตน
ทั้งความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ประเพณีพื้นบ้าน
วิถีชีวิต โดยสะท้อนผ่านการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมายและหลากหลายประเภท
เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้แก่ประชาชน และ ที่สำคัญส่วนใหญ่ มักเข้าชมฟรีนี่สิ (อิจฉา)
(บทความนี้ ตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสารหญิงไทย)