๕. ซกโช(Sokcho) เมืองที่แนบชิดกับทะเล และภูเขา
จากกรุงโซลออกเดินทางไปยังเมืองซกโช
เพื่อตามหาขุนเขาที่อุทยานแห่งชาติ โซรัคซาน
หากพินิจเมืองซกโชดี
ๆ ซกโชนั้นแนบชิดกับทั้งทะเลและภูเขา ขณะเดินออกจากสถานีรถประจำทาง
เพื่อไปยังที่พักที่จองไว้ ทางเดินนั้นมุ่งสู่ทะเล ทั้งลมหนาวและลมทะเลพัดมาทักทาย
ทั้งยังเห็นประภาคารสีขาวลิบ ๆ ตรงริมฝั่ง
ด้วยที่พักตั้งห่างจากทะเลไปแค่บล็อคเดียวเท่านั้น
เจ้าของ
Guest House ที่จองไว้ล่วงหน้า ต้อนรับเราสองคน พร้อมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียที่มาเข้าพักในเวลาเดียวกัน
หนุ่มกลางคน หยิบแผนที่อธิบายถึงสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของซกโชให้ฟังพร้อม ๆ กันในคราวเดียว
นั่นทำให้นึกถึงคำของพี่สาวคนหนึ่ง
ตอนที่มีโอกาสได้ไปพักที่รีสอร์ทต่างจังหวัดแห่งหนึ่งด้วยกัน ที่พักแห่งนั้นเป็นรีสอร์ทระดับหรูหลายดาว
มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
“แต่
ไม่มีให้ข้อมูลให้เลยว่ามั้ย ว่าแถวนี้มีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง เขาเรียกว่าไม่รักบ้านเกิด
ไม่บอกว่าที่บ้านตัวเองมีที่เที่ยวอะไรบ้าง” พี่สาวคนนั้นกล่าวไปถึงขนาดนั้น
นี่ถ้าพี่สาวคนนั้นมานั่งอยู่ด้วยที่นี่
คงชอบใจ เพราะเจ้าของ Guest house เล็ก ๆ แห่งนี้ บรรยายที่เที่ยวซะละเอียดยิบ ตั้งแต่ในตัวเมืองซกโช ไปจนถึงภายในอุทยานแห่งชาติโซรัคซาน และเลยไปถึงร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ใกล้ที่พัก
ฉันตอนนั้น
ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง... เพิ่งจะเดินทางมาถึง ใกล้กลางวันแล้วด้วย กำลังหิวโซ หิวแบบนี้ กินอะไรต้องอร่อยแน่ๆ พอเจ้าของ Guest house พูดคำว่าตลาดเท่านั้น
หูผึ่งขึ้นมาเชียว ถึงจะบอกว่าเป็นตลาดปลาก็เถอะ คำว่าตลาดน่ะ
ไม่ว่าจะตลาดอะไร ย่อมต้องมีของกินเยอะแน่ ๆ พอเสร็จสิ้นการติวเข้มข้อมูลน่าเที่ยวของซกโช เลยรีบควงแขนคนข้างกายตรงดิ่งไปตลาดปลาทันที
ริมทางถนนก่อนเข้าตัวตลาด
มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ฉันเหล่ตั้งแต่ร้านแรกที่เห็น ตั้งท่าจะเข้าไปมันทุกร้าน ก็อาหารเกาหลี
เวลาสั่งทีจะมีเครื่องเคียงเป็นผักดองใส่ถ้วยเล็ก ๆ มาสามสี่อย่าง
อาหารกระจุกกระจิกแบบนี้สาว ๆชอบนัก แต่หนุ่มข้างตัวนี่สิ
ยืนมองอึ้ง ๆ รั้งฉันไว้ทุกร้าน
ด้วยเหตุผลว่า “ไม่มีข้าวผัด”
ผ่านไปหลายร้านเข้า
ชักเริ่ม ล้า หิว และอารมณ์เสียแต่เจ้าตัวยังคงกัดฟัน
ยืนยัน “ต้องมีสิ ร้านที่มีข้าวผัดน่ะ เมนูมันพื้นฐานมากเลยนะ” สุดท้ายทนไม่ไหว ตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง
ชี้ส่ง ๆ ไปที่จานน่ากินบนโต๊ะข้าง ๆ แสดงความจำนงว่าฉันจะเอาแบบนั้นบ้าง
ปล่อยให้คนที่พยายามหาเมนูข้าวผัดนั่งหิวโซต่อไป
การเดินเที่ยวชมเมืองซกโชวันแรก
คงฝืดเฝื่อนหากอิ่มท้องคนเดียว และอีกคนยังคงหิวโซ โชคยังดี
ที่เจ้าตัวที่โหยหาข้าวผัด หันซ้ายแลขวา เจอร้านเบเกอรี่ริมทางเข้า เลยได้ขนมปังที่ทำสดใหม่รองท้องแทน
เมื่อ อิ่มท้อง
สีหน้าเริ่มยิ้มแย้ม และอารมณ์เริ่มดีที่จะเดินเที่ยวชมตลาดกันต่อ
ถนนด้านหน้าตลาด |
ตลาด Jungang เป็นตลาดใจกลางเมือง ด้านในแบ่งของขายออกเป็นโซน ๆ มีทั้งโซนขายของใช้ทั่วไป ผัก ผลไม้ และแน่นอน จุดเด่นที่น่าสนคือโซนขายปลา
และสัตว์ทะเลอื่น ๆ บรรดาแม่ค้าทั้งหลาย
ที่ล้วนอยู่ในวัยอาจุมม่า (ป้า) นั่งเรียงรายขายปลาบนแผงเล็ก ๆ เรียงยาวไปตลอดแนว ทั้งยังมีร้านภายในอาคารที่ขนาบสองด้าน
ช่วยเสริมอยู่ด้านหลัง
บรรดาปลาที่วางขาย
หน้าตาแปลกไม่ค่อยคุ้น มีหลายขนาด ทั้งใหญ่และเล็ก เรียงราย ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ไหนจะมีทั้งปลาหมึกยักษ์ตัวใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในตู้
และที่เด่นมากคือปูสีส้มที่เรียกว่า Red
Snow Crab วางเรียงซ้อนจนเป็นตั้งสูง หอยหน้าตาแปลก ๆ สาหร่ายทะเลวางสุมกองเป็นเส้น ๆ เดินดูไป ก็นึกเปรียบกับอควอเรี่ยมขึ้นมาซะอย่างนั้น เออเนอะ... การเดินเล่นในตลาดขายปลา
ทำให้ได้มีโอกาสเห็นสัตว์ทะเลแปลก ๆ ในระยะประชิด ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศแบบนี้เพลินไม่แพ้การเดินเที่ยวเล่นในอควอเรี่ยมเหมือนกัน
ฉันโปรดกับบรรยากาศดังกล่าว
ถึงขนาดเดินวนกับเพื่อนร่วมบ้านในโซนนั้นสองถึงสามรอบเลยเชียว ก่อนจะเลยไปโซนขายอาหารทะเลปรุงสำเร็จ อืมม์... โซนนี้น่าสนใจไม่แพ้กัน อาหารในตลาดสดน่ะ ไม่ว่าที่ไหนราคาย่อมเยาว และน่ากินมาก
ๆ สุดท้ายเลยสั่งปลาหมึกตัวโตๆ เป็นอาหารพื้นเมืองชื่อว่า Squid Sundae ที่ปรุงยัดใส้หั่นเป็นชิ้น
ๆ หิ้วติดไม้ติดมือกลับที่พัก คิดการณ์ไกลกันไปว่า
จะกินหมึกปรุงยัดไส้ริมทะเลกันตอนเย็น ๆ
แล้วเราก็เดินมาถึงบริเวณหนึ่ง
ที่เกือบทั้งซอย มีแต่ร้านขายไก่ผัดคลุกซอสสีส้ม คล้ายไก่ผัดเปรี้ยวหวาน
วางใส่กล่องกันสวยงาม
ยืนมองสักพัก
เห็นนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา ล้วนเลือกซื้อติดไม้ติดมือไปคนละกล่อง สองกล่อง
แสดงว่าเป็นของฝากขึ้นชื่อของที่นี่แน่ ลองเข้าไปยืนชิมบ้าง ไก่ผัดเปรี้ยวหวานจริง ๆ ด้วย แปลกดี เป็นเมืองชายทะเลแท้ ๆ แต่ของฝากกลายเป็นไก่ผัดเปรี้ยวหวานไปเสียนี่ แล้วการที่มีร้านช่วยกันวาง ช่วยกันขายจำนวนมาก ๆ น่ะ
มันเหมือนการร่ายมนต์สะกด ใครเจอเป่าพรวดเข้าไปยากที่จะรอดไปได้
แต่...เราสองคนรอดมาได้ เปล่า ที่ว่ารอดน่ะ รอดชั่วคราว เพราะตกลงกันไว้ว่า
จะยังอยู่ซกโชอีกหลายวัน วันหลังค่อยแวะมาซื้อใหม่ก็ได้
ทำตัวเป็นลุงกับป้าชมตลาดกลางเมืองแล้ว...
เย็น ๆ ไปชมทะเลกันบ้าง
ทะเลซกโชด้านติดกับที่พัก เป็นอ่าวลึกไม่มีชายหาด
หากมีสะพานปูนขนาดใหญ่สร้างยื่นเข้าไปในทะเล คล้ายเขื่อนกั้นน้ำ แปลกดี..... ระหว่างทางมีคนนำเต้นท์มากางปักหลักตกปลากันเป็นจริงเป็นจัง ดูท่าทะเลแถบนี้คงอุดมสมบูรณ์น่าดู ลมบนสะพานพัดแรงจัด ทำให้ต้องก้มหน้าก้มตาเดินในบางครั้งนั่นทำให้เห็นซากปลาดาวที่ถูกโยนทิ้งบนสะพาน ทำให้ต้องหยุดชะงักเท้า
มองดาวแสนสวยเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง... คนมาไกลไม่เคยคุ้น สงสาร และเสียดาย
แต่คนใกล้คงเห็นและเจอจนเคยชิน จนไม่ใส่ใจ กระทั่งโยนดาวสวย ๆ
นั้นทิ้งได้อย่างไม่รู้สึกอะไร
สะพานปูนนั้นทอดยาวไป สิ้นสุดตรงประภาคารสีแดง
แลดูอ้างว้าง เมื่อเดินไปหยุดที่ตัวประภาคาร
มองไปอีกด้าน เห็นประภาคารสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่าตั้งอยู่บนสะพานอีกด้าน สะพานทั้งสองเว้นช่องว่างระหว่างกันเปิดเป็นทางแล่นเข้าออกของเรือขนาดใหญ่
นี่นับเป็นครั้งแรก
ที่ได้เดินไปบนสะพานที่ทอดยาวยื่นเข้าไปในทะเลไกลขนาดนี้
และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ที่ได้ใกล้ชิดกับสิ่งก่อสร้างที่เป็นสเมือนสัญลักษณ์แห่งความโดดเดี่ยว...ประภาคาร
สีขาว และสีแดง
หมายเหตุ... งานเขียนชุดนี้ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารหญิงไทย