6 พฤษภาคม 2559

ภูเขา วัด ทะเล เมืองประวัติศาสตร์.... เกาหลีใต้ ตอนที่ 5

๕. ซกโช(Sokcho) เมืองที่แนบชิดกับทะเล และภูเขา
                จากกรุงโซลออกเดินทางไปยังเมืองซกโช เพื่อตามหาขุนเขาที่อุทยานแห่งชาติ โซรัคซาน
                หากพินิจเมืองซกโชดี ๆ  ซกโชนั้นแนบชิดกับทั้งทะเลและภูเขา ขณะเดินออกจากสถานีรถประจำทาง เพื่อไปยังที่พักที่จองไว้ ทางเดินนั้นมุ่งสู่ทะเล ทั้งลมหนาวและลมทะเลพัดมาทักทาย  ทั้งยังเห็นประภาคารสีขาวลิบ ๆ ตรงริมฝั่ง ด้วยที่พักตั้งห่างจากทะเลไปแค่บล็อคเดียวเท่านั้น
                เจ้าของ Guest House ที่จองไว้ล่วงหน้า  ต้อนรับเราสองคน พร้อมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซียที่มาเข้าพักในเวลาเดียวกัน หนุ่มกลางคน หยิบแผนที่อธิบายถึงสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจของซกโชให้ฟังพร้อม ๆ กันในคราวเดียว  นั่นทำให้นึกถึงคำของพี่สาวคนหนึ่ง ตอนที่มีโอกาสได้ไปพักที่รีสอร์ทต่างจังหวัดแห่งหนึ่งด้วยกัน ที่พักแห่งนั้นเป็นรีสอร์ทระดับหรูหลายดาว มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
                “แต่ ไม่มีให้ข้อมูลให้เลยว่ามั้ย ว่าแถวนี้มีที่เที่ยวที่ไหนบ้าง เขาเรียกว่าไม่รักบ้านเกิด  ไม่บอกว่าที่บ้านตัวเองมีที่เที่ยวอะไรบ้าง”  พี่สาวคนนั้นกล่าวไปถึงขนาดนั้น 
                นี่ถ้าพี่สาวคนนั้นมานั่งอยู่ด้วยที่นี่ คงชอบใจ เพราะเจ้าของ Guest house  เล็ก ๆ แห่งนี้ บรรยายที่เที่ยวซะละเอียดยิบ ตั้งแต่ในตัวเมืองซกโช  ไปจนถึงภายในอุทยานแห่งชาติโซรัคซาน และเลยไปถึงร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ใกล้ที่พัก
                ฉันตอนนั้น ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง... เพิ่งจะเดินทางมาถึง ใกล้กลางวันแล้วด้วย กำลังหิวโซ  หิวแบบนี้ กินอะไรต้องอร่อยแน่ๆ  พอเจ้าของ Guest house พูดคำว่าตลาดเท่านั้น หูผึ่งขึ้นมาเชียว  ถึงจะบอกว่าเป็นตลาดปลาก็เถอะ คำว่าตลาดน่ะ ไม่ว่าจะตลาดอะไร ย่อมต้องมีของกินเยอะแน่ ๆ  พอเสร็จสิ้นการติวเข้มข้อมูลน่าเที่ยวของซกโช เลยรีบควงแขนคนข้างกายตรงดิ่งไปตลาดปลาทันที
                ริมทางถนนก่อนเข้าตัวตลาด มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ฉันเหล่ตั้งแต่ร้านแรกที่เห็น ตั้งท่าจะเข้าไปมันทุกร้าน ก็อาหารเกาหลี เวลาสั่งทีจะมีเครื่องเคียงเป็นผักดองใส่ถ้วยเล็ก ๆ มาสามสี่อย่าง อาหารกระจุกกระจิกแบบนี้สาว ๆชอบนัก  แต่หนุ่มข้างตัวนี่สิ  ยืนมองอึ้ง ๆ รั้งฉันไว้ทุกร้าน ด้วยเหตุผลว่า “ไม่มีข้าวผัด”
                ผ่านไปหลายร้านเข้า ชักเริ่ม ล้า  หิว และอารมณ์เสียแต่เจ้าตัวยังคงกัดฟัน ยืนยัน  “ต้องมีสิ ร้านที่มีข้าวผัดน่ะ  เมนูมันพื้นฐานมากเลยนะ”  สุดท้ายทนไม่ไหว  ตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง ชี้ส่ง ๆ ไปที่จานน่ากินบนโต๊ะข้าง ๆ  แสดงความจำนงว่าฉันจะเอาแบบนั้นบ้าง  ปล่อยให้คนที่พยายามหาเมนูข้าวผัดนั่งหิวโซต่อไป
การเดินเที่ยวชมเมืองซกโชวันแรก คงฝืดเฝื่อนหากอิ่มท้องคนเดียว และอีกคนยังคงหิวโซ โชคยังดี ที่เจ้าตัวที่โหยหาข้าวผัด หันซ้ายแลขวา เจอร้านเบเกอรี่ริมทางเข้า เลยได้ขนมปังที่ทำสดใหม่รองท้องแทน
เมื่อ อิ่มท้อง สีหน้าเริ่มยิ้มแย้ม และอารมณ์เริ่มดีที่จะเดินเที่ยวชมตลาดกันต่อ

ถนนด้านหน้าตลาด
ตลาด  Jungang เป็นตลาดใจกลางเมือง  ด้านในแบ่งของขายออกเป็นโซน ๆ  มีทั้งโซนขายของใช้ทั่วไป ผัก ผลไม้  และแน่นอน จุดเด่นที่น่าสนคือโซนขายปลา และสัตว์ทะเลอื่น ๆ  บรรดาแม่ค้าทั้งหลาย ที่ล้วนอยู่ในวัยอาจุมม่า (ป้า) นั่งเรียงรายขายปลาบนแผงเล็ก ๆ เรียงยาวไปตลอดแนว  ทั้งยังมีร้านภายในอาคารที่ขนาบสองด้าน ช่วยเสริมอยู่ด้านหลัง
                บรรดาปลาที่วางขาย หน้าตาแปลกไม่ค่อยคุ้น มีหลายขนาด ทั้งใหญ่และเล็ก เรียงราย ให้ลูกค้าเลือกซื้อ ไหนจะมีทั้งปลาหมึกยักษ์ตัวใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในตู้  และที่เด่นมากคือปูสีส้มที่เรียกว่า Red Snow Crab วางเรียงซ้อนจนเป็นตั้งสูง  หอยหน้าตาแปลก ๆ  สาหร่ายทะเลวางสุมกองเป็นเส้น ๆ  เดินดูไป ก็นึกเปรียบกับอควอเรี่ยมขึ้นมาซะอย่างนั้น  เออเนอะ... การเดินเล่นในตลาดขายปลา ทำให้ได้มีโอกาสเห็นสัตว์ทะเลแปลก ๆ ในระยะประชิด ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน  บรรยากาศแบบนี้เพลินไม่แพ้การเดินเที่ยวเล่นในอควอเรี่ยมเหมือนกัน
                ฉันโปรดกับบรรยากาศดังกล่าว ถึงขนาดเดินวนกับเพื่อนร่วมบ้านในโซนนั้นสองถึงสามรอบเลยเชียว ก่อนจะเลยไปโซนขายอาหารทะเลปรุงสำเร็จ  อืมม์... โซนนี้น่าสนใจไม่แพ้กัน  อาหารในตลาดสดน่ะ ไม่ว่าที่ไหนราคาย่อมเยาว และน่ากินมาก ๆ  สุดท้ายเลยสั่งปลาหมึกตัวโตๆ เป็นอาหารพื้นเมืองชื่อว่า  Squid Sundae ที่ปรุงยัดใส้หั่นเป็นชิ้น ๆ   หิ้วติดไม้ติดมือกลับที่พัก คิดการณ์ไกลกันไปว่า จะกินหมึกปรุงยัดไส้ริมทะเลกันตอนเย็น ๆ
                แล้วเราก็เดินมาถึงบริเวณหนึ่ง ที่เกือบทั้งซอย มีแต่ร้านขายไก่ผัดคลุกซอสสีส้ม คล้ายไก่ผัดเปรี้ยวหวาน วางใส่กล่องกันสวยงาม

                ยืนมองสักพัก เห็นนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา ล้วนเลือกซื้อติดไม้ติดมือไปคนละกล่อง สองกล่อง แสดงว่าเป็นของฝากขึ้นชื่อของที่นี่แน่   ลองเข้าไปยืนชิมบ้าง  ไก่ผัดเปรี้ยวหวานจริง ๆ ด้วย  แปลกดี เป็นเมืองชายทะเลแท้ ๆ  แต่ของฝากกลายเป็นไก่ผัดเปรี้ยวหวานไปเสียนี่  แล้วการที่มีร้านช่วยกันวาง  ช่วยกันขายจำนวนมาก ๆ น่ะ มันเหมือนการร่ายมนต์สะกด  ใครเจอเป่าพรวดเข้าไปยากที่จะรอดไปได้  แต่...เราสองคนรอดมาได้  เปล่า ที่ว่ารอดน่ะ รอดชั่วคราว เพราะตกลงกันไว้ว่า จะยังอยู่ซกโชอีกหลายวัน วันหลังค่อยแวะมาซื้อใหม่ก็ได้








            ทำตัวเป็นลุงกับป้าชมตลาดกลางเมืองแล้ว... เย็น ๆ ไปชมทะเลกันบ้าง
ทะเลซกโชด้านติดกับที่พัก เป็นอ่าวลึกไม่มีชายหาด หากมีสะพานปูนขนาดใหญ่สร้างยื่นเข้าไปในทะเล คล้ายเขื่อนกั้นน้ำ แปลกดี..... ระหว่างทางมีคนนำเต้นท์มากางปักหลักตกปลากันเป็นจริงเป็นจัง  ดูท่าทะเลแถบนี้คงอุดมสมบูรณ์น่าดู  ลมบนสะพานพัดแรงจัด  ทำให้ต้องก้มหน้าก้มตาเดินในบางครั้งนั่นทำให้เห็นซากปลาดาวที่ถูกโยนทิ้งบนสะพาน  ทำให้ต้องหยุดชะงักเท้า มองดาวแสนสวยเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง... คนมาไกลไม่เคยคุ้น สงสาร และเสียดาย แต่คนใกล้คงเห็นและเจอจนเคยชิน จนไม่ใส่ใจ กระทั่งโยนดาวสวย ๆ นั้นทิ้งได้อย่างไม่รู้สึกอะไร
สะพานปูนนั้นทอดยาวไป สิ้นสุดตรงประภาคารสีแดง แลดูอ้างว้าง เมื่อเดินไปหยุดที่ตัวประภาคาร  มองไปอีกด้าน เห็นประภาคารสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่าตั้งอยู่บนสะพานอีกด้าน สะพานทั้งสองเว้นช่องว่างระหว่างกันเปิดเป็นทางแล่นเข้าออกของเรือขนาดใหญ่
นี่นับเป็นครั้งแรก ที่ได้เดินไปบนสะพานที่ทอดยาวยื่นเข้าไปในทะเลไกลขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ที่ได้ใกล้ชิดกับสิ่งก่อสร้างที่เป็นสเมือนสัญลักษณ์แห่งความโดดเดี่ยว...ประภาคาร สีขาว และสีแดง 








หมายเหตุ... งานเขียนชุดนี้ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารหญิงไทย