17 พฤษภาคม 2559

ภูเขา วัด ทะเล เมืองประวัติศาสตร์.... เกาหลีใต้ ตอนที่ 7

๗. คยองจู (Gyeongjo) เมืองหลวงแห่งอาณาจักรโบราณชิลลา
                การได้เดินเที่ยวชมเมืองคยองจูด้วยสองเท้าในเวลาเย็นย่ำของวันแรกทำให้พบว่าเมืองเก่าขนาดเล็กในหุบเขาแห่งนี้ เป็นประหนึ่งเมืองพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง  เพราะไม่ว่าจะเดินไปตรงส่วนไหนของเมืองจะเจอสุสานมูนดินแปลกตา แบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เจอเศษซากของเมืองเก่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต และที่สำคัญบรรยากาศความเป็นเมืองเก่าแบบนี้ถูกร้อยเชื่อมด้วยสวนขนาดใหญ่ ที่ต้นไม้ล้วนใหญ่มหึมา เห็นแล้วชวนหลงไหล ช่วยให้พื้นที่โบราณสถานกลมกลืนไปกับตัวเมือง ไม่ได้กั้นแยกโดดเดี่ยวเพื่อทำเป็นอทุยานประวัติศาสตร์ นั่นทำให้ตัวเมืองทั้งเมือง เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ร่มรื่นด้วยตัวเอง
                บรรยากาศของเมืองที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแบบนี้ เคยพบเจอที่อิตาลี ไม่คิดมาก่อนว่าเมืองชื่อประหลาดที่พยายามออกเสียงอยู่หลายครั้ง เคียงจู บ้าง คองจูบ้าง... สุดท้ายคือคยองจู จะให้อารมณ์ความเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์ ได้ไม่แพ้เมืองใหญ่น้อยในอิตาลีเลย
                คนที่ช่วยปรับเสียง เคียงจู คองจู และสุดท้ายเป็นคยองจูคือเจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่สถานีรถประจำทางเมืองซกโช ที่ทำหน้าแปลก ๆ ตอนออกเสียงเคียงจูครั้งแรก ครั้นพอออกเสียงถูก ก็ทำหน้าแปลก ๆ อีก ที่กระเหรี่ยงสองตน มาขอซื้อตั๋วล่วงหน้า  ก่อนที่เจ้าหล่อนจะบอกให้มาซื้อตั๋วตอนที่จะเดินทางได้เลย  มาได้คำตอบชัด ๆ ในวันเดินทาง เมื่อคนขับรถรับตั๋วเราไปแล้วก็ทำหน้าแปลก ๆ  ก่อนที่เราสองคนจะพบว่าบนรถทั้งคันมีผู้โดยสารเริ่มต้นที่ 3 คน เท่านั้น
                รถจากเมืองซกโชวิ่งตรงไปยังเมืองคยองจูวันละเที่ยว  ออกแต่เช้า ถึงเมืองคยองจูตอนบ่ายแก่ ๆ .. นี่เป็นรถประจำทางหวานเย็นชัด ๆ  แวะจอดรับส่งผู้โดยสารทุกเมืองที่ผ่าน ทั้งที่สถานีรถ และที่ป้ายรถข้างทาง..... มีผู้โดยสารขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นระยะ ส่วนใหญ่นั่งกันไม่กี่ป้าย ก็ลงกันแล้ว  แต่เห็นเป็นรถหวานเย็นแบบนี้ เข้าจอดแต่ละสถานี แต่ละป้ายรถเคร่งครัดตรงตามเวลา ถ้าถึงก่อนเวลา คนขับจะจอดรอจนกว่าจะถึงเวลารถออก
                เวลาประพฤติตนเป็นนักท่องเที่ยว ฉันชอบรถหวานเย็นแบบนี้ เพราะจะได้เห็นบรรยากาศที่แปลกตา แล้วเที่ยวติดต่อกันหลายวันเข้า ชักเริ่มล้า  การได้นั่งเฉย ๆ บนรถเอื่อย ๆ ชมวิว เป็นความสุขประการหนึ่ง

                และบนรถหวานเย็นนี่เอง ฉันพบว่าไม่ว่ารถจะแล่นเข้าออกเมืองเล็กเมืองน้อยที่ไหน จะได้เห็นโบสถ์คริสต์เล็กๆ อย่างน้อยหนึ่งแห่งอยู่ เสมอ ช่วยย้ำข้อมูลที่ว่าชาวเกาหลีใต้นับถือศาสนาคริสต์มากเป็นอันดับหนึ่ง มากกว่าพุทธศาสนาที่เคยเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโบราณ  และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นและ ชอบใจคือการใช้ประโยชน์จากผืนดินอย่างเต็มที่ พื้นที่ริมถนนสองข้างทางไม่มีปล่อยให้รกร้าง ไร้ประโยชน์ หากมีการปลูกพืชผลทางการเกษตรจนแน่นเต็ม กระทั่งพื้นที่ชายธงสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ยังกลายเป็นแปลงปลูกผักน้อย ๆ ให้ชวนสงสัยเล่นๆ ว่าพื้นที่แบบนี้มีเจ้าของด้วยหรือ หรือใครนึกเสียดาย เลยมาขุดดินยกเป็นแปลงปลูกผักเสียเลย



บรรยากาศสถานีรถประจำทางในแต่ละเมือง
                และเมื่อเริ่มเข้าเขตตัวเมืองคยองจู เริ่มเห็นสุสานมูนดินที่คล้ายภูเขาหญ้าลูกเล็ก ๆ  ช่วยปูบรรยากาศความเป็นเมืองเก่า  แต่พอรถเข้าไปจอดในสถานีรถประจำเมือง แล้วเดินออกมายังพื้นที่รอบ ๆ นี่สิ  บรรยากาศแปลก ๆ  ชอบกลด้วยอาคารที่อยู่รอบ ๆ สถานีรถ ล้วนเป็นโรงแรมที่มีสีสันวูบวาบ  นี่มันโรงแรมแนวคู่รักชัด ๆ  คำโปรยหน้าโรงแรมบางแห่งก็ชวนจินตนการ  hot &   fun time แล้วเราสองคนก็จองที่พักแถวนี้เสียด้วยสิ ชื่อก็หว้านหวาน Sugar Motel  และ... เมื่อไปถึงที่พักเป็นไปตามคาด  โรงแรมที่เราจองไว้เป็นโรงแรมแนวคู่รักจริง ๆ ด้วย
                มิน่าเล่า... ตอนที่จองผ่านระบบทางอินเตอร์เน็ต ถึงมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแสดงความเห็นว่า “โรงแรมตกแต่งด้วยรสนิยมแปลกๆ”  แต่ เมื่อเทียบราคากับคุณภาพห้อง รวมถึงทำเลที่ตั้งแล้วคุ้ม ห้องกว้างขวาง ใหม่เอี่ยม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามที่โรงแรมชั้นดีควรจะมี  มีโต๊ะเขียนหนังสือ แถมด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และที่นับเป็นความภาคภูมิใจของโรงแรมคืออ่างจากุชชี่ใหม่เอี่ยมที่เต็มไปด้วยปุ่มใช้งานจนงง  สุดท้ายได้แต่ยืนมองปลง ๆ ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น เพราะใช้ไม่เป็น  ทุกโรงแรมในย่านนี้ตอนที่ฉันเลือกช้อปผ่านระบบทางอินเตอร์เน็ต ล้วนโอ้อวดเรื่องนี้ทั้งสิ้นว่าโรงแรมตนมีอ่างจากุชชี่ใหม่เอี่ยม....ประมาณว่าโรงแรมไหนไม่มีไม่ต้องเสนอหน้ามาให้เลือกเลยเชียว
                นอกจากบรรยากาศของโรงแรมด้านหน้าที่ตกแต่งด้วยสีสันวูบวาบ และบรรยากาศภายในห้องล็อบบี้และทางเดินที่ดูสลัว ๆ แล้ว.... โรงแรมแห่งนี้ก็เหมือนกับโรงแรมที่พักทั่วไป  แถมคุ้มค่ามาก ๆด้วยซ้ำ เมื่อเทียบสภาพห้องกับราคา  แค่เริ่มต้น...เมืองคยองจูก็มีสีสันแล้ว  คิดได้ยังไงว่าที่พักจะต้องมีลักษณะแบบนี้ แถมอาหารเช้ายังบริการเสริฟถึงห้องอีกด้วย

โรงแรมรอบ ๆ สถานีรถเมืองคอยงจู
                 ออกจากห้องพัก... สถานที่แรกที่ตรงดิ่งไปหาคือ I-Information ที่อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถประจำทาง หลังจากรับแผนที่จากเจ้าหน้าที่มากางเปิดออกดู ต้องยอมรับว่า การท่องเที่ยวของเขาแจ๋วจริง แผนที่ฉบับเดียวเอาอยู่  เก็บสถานที่เที่ยวสำคัญ ๆ ของคยองจูร้อยเรียงเป็นสัญลักษณ์บนแผนที่อย่างครบครัน แถมด้วยภาพประกอบและข้อมูลโดยสังเขป  ก่อนตบท้ายด้วยหมายเลขรถประจำทางที่แล่นผ่านสถานที่นั้น ๆ.... และถ้าขนาดนี้แล้วยังวางแผนการเดินทางไม่ถูก มีตัวอย่างเส้นทางแนะนำพร้อมระยะเวลาประกอบให้เลือกตัดสินใจ
                จากแผนที่ฉบับนั้น สุสานมูนดินกระจายอยู่หลายจุดในตัวเมือง ใกล้ที่สุดที่เดินไปถึงได้ง่าย ๆ  และไม่ไกลจากที่พัก คือ Darerungnon Royal Tomb    ออกไปสำรวจสักหน่อยน่าจะดี
                Darerungnon Royal Tomb  เป็นสวนสุสานที่กั้นพื้นที่เป็นสัดส่วนมีกำแพงล้อมรอบ  กลายเป็นสวนสุสานมูนดินที่ต้องเสียค่าเข้าชม  แต่ก่อนนั้นบ้านเรือนผู้คนตั้งปะปนกับสุสานเหล่านี้ สุสานที่มีขนาดใหญ่เป็นสุสานของกษัตริย์และราชินี เมื่อมีการขุดสำรวจพบสมบัติล้ำค่าจำนวนมากอยู่ด้านใน จึงได้ย้ายผู้คนและบ้านเรือนออกไป และกั้นพื้นที่ส่วนนี้เป็นเขตโบราณสถาน แต่กระนั้น สุสานมูนดินภายในเมืองยังกระจัดกระจายไปทั่ว หลายแห่งอยู่นอกเขตที่กั้นเป็นสัดเป็นส่วน ดังนั้นแม้ไม่เสียเงินเข้าชมภายในพื้นที่นี้ ก็ยังมีโอกาสได้เห็นสุสานมูนดินอื่น ในระยะใกล้เช่นกัน
                แรกนั้นคิดจะหยุดที่สุสานมูนดินเท่านั้นแต่ที่ไหนได้....สวนไม้สวย ๆ ที่ช่วยเชื่อมร้อยสถานที่ต่าง ๆ ของตัวเมือง ทำให้การเดินเพลินกว่าที่คิด ไหนอดีต ไหนปัจจุบัน กลมกลืนกันไปหมดจนแยกไม่ออก สองเท้าจึงพาย่ำไปไกลเกินสวนสุสานมูนดิน กระทั่งไปถึงสวนใหญ่อีกฟากถนน  ก่อนจะหมดแรงตรงหอดูดาวโบราณ... ถ้าทั้งแผนที่ และแผ่นป้ายไม่ระบุตรงกัน มองแต่รูปลักษณ์ภายนอกคงไม่คิดว่าที่นี่เป็นหอดูดาว แน่ เพราะรูปทรงเหมือนสถูปเล็ก ๆ เสียมากกว่า....
                คนที่นี่คงให้ความสำคัญกับหอดูดาวนี้เป็นพิเศษ เพราะกั้นเป็นพื้นที่ที่ต้องเสียค่าเข้าชม  ซึ่งแปลกไม่น้อย เพราะหอดูดาวตั้งอยู่ในพื้นที่สวนที่เปิดโล่ง  ถึงไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าชม ยืนมองจากด้านนอกก็เห็นชัดเจนแทบไม่ต่างจากด้านใน  
                จากแผ่นป้ายข้อมูลด้านหน้าระบุว่าหอดูดาวแห่งนี้เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรชิลลา ยุคราชินีซอนด็อกครองราชย์  และจนบัดนี้ยังไม่แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อะไรกันแน่  แต่ตัวเลขที่เกี่ยวกับการก่อสร้างน่าสนใจทีเดียว มีการใช้หินในการก่อสร้าง 365 ก้อน เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี  ตรงกึ่งกลางของหอมีช่องหน้าต่าง ซึ่งหากนับหินจากฐานล่างสุดไปถึงขอบหน้าต่างด้านล่าง จะพบว่ามี 12 ชั้น และนับจากชั้นเหนือขอบหน้าต่างขึ้นไปถึงข้างบนสุด มี 12 ชั้นเช่นกัน... เป็นตัวเลขที่ทำให้เดากันต่าง ๆ นา ๆ ว่า แทนจำนวนเดือนในหนึ่งปี หรือจะแทน 12 ราศี กันแน่
                แค่ระยะเวลายามเย็นสั้น ๆ ก็ถูกใจเมืองคยองจูมากมาย.... ไม่คิดว่าประเทศที่เน้นภาพการท่องเที่ยวของตนเองด้วยภาพลักษณ์ของการช้อปปิ้ง และตามรอยซีรี่ย์ดังต่าง ๆ จะมีเมืองประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างนี้

ภาพสุสานมูนดินภายในเขต Darerungnon Royal Tomb ในมุมสูง




ภายในสวนอีกฝั่งด้านหนึ่งของถนน มีสุสานมูนดินเช่นกัน
 และเป็นส่วนที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าชม

ภาพนี้ทำให้พอเข้าใจได้บ้างว่าเวลาดูดาวภายในหอจะมีสภาพเป็นอย่างไร
หอดูดาวโบราณ

หมายเหตุ... งานเขียนชุดนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารหญิงไทย