๗. คยองจู (Gyeongjo) เมืองหลวงแห่งอาณาจักรโบราณชิลลา
การได้เดินเที่ยวชมเมืองคยองจูด้วยสองเท้าในเวลาเย็นย่ำของวันแรกทำให้พบว่าเมืองเก่าขนาดเล็กในหุบเขาแห่งนี้
เป็นประหนึ่งเมืองพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
เพราะไม่ว่าจะเดินไปตรงส่วนไหนของเมืองจะเจอสุสานมูนดินแปลกตา แบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เจอเศษซากของเมืองเก่าที่เคยรุ่งเรืองในอดีต และที่สำคัญบรรยากาศความเป็นเมืองเก่าแบบนี้ถูกร้อยเชื่อมด้วยสวนขนาดใหญ่
ที่ต้นไม้ล้วนใหญ่มหึมา เห็นแล้วชวนหลงไหล ช่วยให้พื้นที่โบราณสถานกลมกลืนไปกับตัวเมือง
ไม่ได้กั้นแยกโดดเดี่ยวเพื่อทำเป็นอทุยานประวัติศาสตร์ นั่นทำให้ตัวเมืองทั้งเมือง
เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ร่มรื่นด้วยตัวเอง
บรรยากาศของเมืองที่เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแบบนี้
เคยพบเจอที่อิตาลี ไม่คิดมาก่อนว่าเมืองชื่อประหลาดที่พยายามออกเสียงอยู่หลายครั้ง
เคียงจู บ้าง คองจูบ้าง... สุดท้ายคือคยองจู จะให้อารมณ์ความเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์
ได้ไม่แพ้เมืองใหญ่น้อยในอิตาลีเลย
คนที่ช่วยปรับเสียง เคียงจู คองจู
และสุดท้ายเป็นคยองจูคือเจ้าหน้าที่ขายตั๋วที่สถานีรถประจำทางเมืองซกโช
ที่ทำหน้าแปลก ๆ ตอนออกเสียงเคียงจูครั้งแรก ครั้นพอออกเสียงถูก ก็ทำหน้าแปลก ๆ อีก
ที่กระเหรี่ยงสองตน มาขอซื้อตั๋วล่วงหน้า
ก่อนที่เจ้าหล่อนจะบอกให้มาซื้อตั๋วตอนที่จะเดินทางได้เลย มาได้คำตอบชัด ๆ ในวันเดินทาง
เมื่อคนขับรถรับตั๋วเราไปแล้วก็ทำหน้าแปลก ๆ ก่อนที่เราสองคนจะพบว่าบนรถทั้งคันมีผู้โดยสารเริ่มต้นที่
3 คน เท่านั้น
รถจากเมืองซกโชวิ่งตรงไปยังเมืองคยองจูวันละเที่ยว
ออกแต่เช้า ถึงเมืองคยองจูตอนบ่ายแก่ ๆ ..
นี่เป็นรถประจำทางหวานเย็นชัด ๆ
แวะจอดรับส่งผู้โดยสารทุกเมืองที่ผ่าน ทั้งที่สถานีรถ
และที่ป้ายรถข้างทาง..... มีผู้โดยสารขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นระยะ
ส่วนใหญ่นั่งกันไม่กี่ป้าย ก็ลงกันแล้ว แต่เห็นเป็นรถหวานเย็นแบบนี้
เข้าจอดแต่ละสถานี แต่ละป้ายรถเคร่งครัดตรงตามเวลา ถ้าถึงก่อนเวลา
คนขับจะจอดรอจนกว่าจะถึงเวลารถออก
เวลาประพฤติตนเป็นนักท่องเที่ยว
ฉันชอบรถหวานเย็นแบบนี้ เพราะจะได้เห็นบรรยากาศที่แปลกตา
แล้วเที่ยวติดต่อกันหลายวันเข้า ชักเริ่มล้า การได้นั่งเฉย ๆ บนรถเอื่อย ๆ ชมวิว เป็นความสุขประการหนึ่ง
และบนรถหวานเย็นนี่เอง
ฉันพบว่าไม่ว่ารถจะแล่นเข้าออกเมืองเล็กเมืองน้อยที่ไหน จะได้เห็นโบสถ์คริสต์เล็กๆ
อย่างน้อยหนึ่งแห่งอยู่ เสมอ ช่วยย้ำข้อมูลที่ว่าชาวเกาหลีใต้นับถือศาสนาคริสต์มากเป็นอันดับหนึ่ง
มากกว่าพุทธศาสนาที่เคยเป็นศาสนาประจำอาณาจักรโบราณ และอีกสิ่งหนึ่งที่ได้เห็นและ
ชอบใจคือการใช้ประโยชน์จากผืนดินอย่างเต็มที่
พื้นที่ริมถนนสองข้างทางไม่มีปล่อยให้รกร้าง ไร้ประโยชน์ หากมีการปลูกพืชผลทางการเกษตรจนแน่นเต็ม
กระทั่งพื้นที่ชายธงสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ยังกลายเป็นแปลงปลูกผักน้อย ๆ
ให้ชวนสงสัยเล่นๆ ว่าพื้นที่แบบนี้มีเจ้าของด้วยหรือ หรือใครนึกเสียดาย เลยมาขุดดินยกเป็นแปลงปลูกผักเสียเลย
บรรยากาศสถานีรถประจำทางในแต่ละเมือง |
และเมื่อเริ่มเข้าเขตตัวเมืองคยองจู
เริ่มเห็นสุสานมูนดินที่คล้ายภูเขาหญ้าลูกเล็ก ๆ ช่วยปูบรรยากาศความเป็นเมืองเก่า แต่พอรถเข้าไปจอดในสถานีรถประจำเมือง แล้วเดินออกมายังพื้นที่รอบ
ๆ นี่สิ บรรยากาศแปลก ๆ ชอบกลด้วยอาคารที่อยู่รอบ ๆ สถานีรถ ล้วนเป็นโรงแรมที่มีสีสันวูบวาบ
นี่มันโรงแรมแนวคู่รักชัด ๆ คำโปรยหน้าโรงแรมบางแห่งก็ชวนจินตนการ hot & fun time แล้วเราสองคนก็จองที่พักแถวนี้เสียด้วยสิ
ชื่อก็หว้านหวาน Sugar Motel และ... เมื่อไปถึงที่พักเป็นไปตามคาด โรงแรมที่เราจองไว้เป็นโรงแรมแนวคู่รักจริง ๆ
ด้วย
มิน่าเล่า... ตอนที่จองผ่านระบบทางอินเตอร์เน็ต
ถึงมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแสดงความเห็นว่า “โรงแรมตกแต่งด้วยรสนิยมแปลกๆ” แต่ เมื่อเทียบราคากับคุณภาพห้อง
รวมถึงทำเลที่ตั้งแล้วคุ้ม ห้องกว้างขวาง ใหม่เอี่ยม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามที่โรงแรมชั้นดีควรจะมี
มีโต๊ะเขียนหนังสือ
แถมด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
และที่นับเป็นความภาคภูมิใจของโรงแรมคืออ่างจากุชชี่ใหม่เอี่ยมที่เต็มไปด้วยปุ่มใช้งานจนงง สุดท้ายได้แต่ยืนมองปลง ๆ ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น
เพราะใช้ไม่เป็น ทุกโรงแรมในย่านนี้ตอนที่ฉันเลือกช้อปผ่านระบบทางอินเตอร์เน็ต
ล้วนโอ้อวดเรื่องนี้ทั้งสิ้นว่าโรงแรมตนมีอ่างจากุชชี่ใหม่เอี่ยม....ประมาณว่าโรงแรมไหนไม่มีไม่ต้องเสนอหน้ามาให้เลือกเลยเชียว
นอกจากบรรยากาศของโรงแรมด้านหน้าที่ตกแต่งด้วยสีสันวูบวาบ และบรรยากาศภายในห้องล็อบบี้และทางเดินที่ดูสลัว ๆ แล้ว.... โรงแรมแห่งนี้ก็เหมือนกับโรงแรมที่พักทั่วไป แถมคุ้มค่ามาก ๆด้วยซ้ำ เมื่อเทียบสภาพห้องกับราคา แค่เริ่มต้น...เมืองคยองจูก็มีสีสันแล้ว คิดได้ยังไงว่าที่พักจะต้องมีลักษณะแบบนี้ แถมอาหารเช้ายังบริการเสริฟถึงห้องอีกด้วย
นอกจากบรรยากาศของโรงแรมด้านหน้าที่ตกแต่งด้วยสีสันวูบวาบ และบรรยากาศภายในห้องล็อบบี้และทางเดินที่ดูสลัว ๆ แล้ว.... โรงแรมแห่งนี้ก็เหมือนกับโรงแรมที่พักทั่วไป แถมคุ้มค่ามาก ๆด้วยซ้ำ เมื่อเทียบสภาพห้องกับราคา แค่เริ่มต้น...เมืองคยองจูก็มีสีสันแล้ว คิดได้ยังไงว่าที่พักจะต้องมีลักษณะแบบนี้ แถมอาหารเช้ายังบริการเสริฟถึงห้องอีกด้วย
โรงแรมรอบ ๆ สถานีรถเมืองคอยงจู
|
ออกจากห้องพัก...
สถานที่แรกที่ตรงดิ่งไปหาคือ I-Information ที่อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีรถประจำทาง หลังจากรับแผนที่จากเจ้าหน้าที่มากางเปิดออกดู
ต้องยอมรับว่า การท่องเที่ยวของเขาแจ๋วจริง แผนที่ฉบับเดียวเอาอยู่ เก็บสถานที่เที่ยวสำคัญ ๆ ของคยองจูร้อยเรียงเป็นสัญลักษณ์บนแผนที่อย่างครบครัน
แถมด้วยภาพประกอบและข้อมูลโดยสังเขป ก่อนตบท้ายด้วยหมายเลขรถประจำทางที่แล่นผ่านสถานที่นั้น
ๆ.... และถ้าขนาดนี้แล้วยังวางแผนการเดินทางไม่ถูก มีตัวอย่างเส้นทางแนะนำพร้อมระยะเวลาประกอบให้เลือกตัดสินใจ
จากแผนที่ฉบับนั้น สุสานมูนดินกระจายอยู่หลายจุดในตัวเมือง
ใกล้ที่สุดที่เดินไปถึงได้ง่าย ๆ
และไม่ไกลจากที่พัก คือ Darerungnon Royal Tomb ออกไปสำรวจสักหน่อยน่าจะดี
Darerungnon Royal Tomb เป็นสวนสุสานที่กั้นพื้นที่เป็นสัดส่วนมีกำแพงล้อมรอบ กลายเป็นสวนสุสานมูนดินที่ต้องเสียค่าเข้าชม แต่ก่อนนั้นบ้านเรือนผู้คนตั้งปะปนกับสุสานเหล่านี้
สุสานที่มีขนาดใหญ่เป็นสุสานของกษัตริย์และราชินี
เมื่อมีการขุดสำรวจพบสมบัติล้ำค่าจำนวนมากอยู่ด้านใน
จึงได้ย้ายผู้คนและบ้านเรือนออกไป และกั้นพื้นที่ส่วนนี้เป็นเขตโบราณสถาน
แต่กระนั้น สุสานมูนดินภายในเมืองยังกระจัดกระจายไปทั่ว หลายแห่งอยู่นอกเขตที่กั้นเป็นสัดเป็นส่วน
ดังนั้นแม้ไม่เสียเงินเข้าชมภายในพื้นที่นี้ ก็ยังมีโอกาสได้เห็นสุสานมูนดินอื่น
ในระยะใกล้เช่นกัน
แรกนั้นคิดจะหยุดที่สุสานมูนดินเท่านั้นแต่ที่ไหนได้....สวนไม้สวย
ๆ ที่ช่วยเชื่อมร้อยสถานที่ต่าง ๆ ของตัวเมือง ทำให้การเดินเพลินกว่าที่คิด ไหนอดีต
ไหนปัจจุบัน กลมกลืนกันไปหมดจนแยกไม่ออก สองเท้าจึงพาย่ำไปไกลเกินสวนสุสานมูนดิน
กระทั่งไปถึงสวนใหญ่อีกฟากถนน ก่อนจะหมดแรงตรงหอดูดาวโบราณ...
ถ้าทั้งแผนที่ และแผ่นป้ายไม่ระบุตรงกัน มองแต่รูปลักษณ์ภายนอกคงไม่คิดว่าที่นี่เป็นหอดูดาว
แน่ เพราะรูปทรงเหมือนสถูปเล็ก ๆ เสียมากกว่า....
คนที่นี่คงให้ความสำคัญกับหอดูดาวนี้เป็นพิเศษ
เพราะกั้นเป็นพื้นที่ที่ต้องเสียค่าเข้าชม ซึ่งแปลกไม่น้อย เพราะหอดูดาวตั้งอยู่ในพื้นที่สวนที่เปิดโล่ง
ถึงไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าชม
ยืนมองจากด้านนอกก็เห็นชัดเจนแทบไม่ต่างจากด้านใน
จากแผ่นป้ายข้อมูลด้านหน้าระบุว่าหอดูดาวแห่งนี้เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออก
สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรชิลลา ยุคราชินีซอนด็อกครองราชย์ และจนบัดนี้ยังไม่แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์อะไรกันแน่
แต่ตัวเลขที่เกี่ยวกับการก่อสร้างน่าสนใจทีเดียว
มีการใช้หินในการก่อสร้าง 365
ก้อน เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี ตรงกึ่งกลางของหอมีช่องหน้าต่าง ซึ่งหากนับหินจากฐานล่างสุดไปถึงขอบหน้าต่างด้านล่าง
จะพบว่ามี 12 ชั้น และนับจากชั้นเหนือขอบหน้าต่างขึ้นไปถึงข้างบนสุด
มี 12 ชั้นเช่นกัน... เป็นตัวเลขที่ทำให้เดากันต่าง ๆ นา ๆ
ว่า แทนจำนวนเดือนในหนึ่งปี หรือจะแทน 12 ราศี กันแน่
แค่ระยะเวลายามเย็นสั้น ๆ
ก็ถูกใจเมืองคยองจูมากมาย.... ไม่คิดว่าประเทศที่เน้นภาพการท่องเที่ยวของตนเองด้วยภาพลักษณ์ของการช้อปปิ้ง
และตามรอยซีรี่ย์ดังต่าง ๆ จะมีเมืองประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอย่างนี้
ภาพสุสานมูนดินภายในเขต Darerungnon Royal Tomb ในมุมสูง
|
ภายในสวนอีกฝั่งด้านหนึ่งของถนน มีสุสานมูนดินเช่นกัน
และเป็นส่วนที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าชม |
ภาพนี้ทำให้พอเข้าใจได้บ้างว่าเวลาดูดาวภายในหอจะมีสภาพเป็นอย่างไร
|
หอดูดาวโบราณ
|
หมายเหตุ... งานเขียนชุดนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารหญิงไทย