8. วัดพุทธในคยองจู
ศาสนาประจำอาณาจักรโบราณชิลลาคือพุทธศาสนา...
สถานที่สำคัญลำดับต้น ๆ ที่ใคร ๆ เมื่อมาเยือนคยองจูเป็นต้องไปเยี่ยมชมจึงเป็นวัดพุทธขนาดใหญ่ที่สร้างในสมัยนั้น
ได้แก่วัดพุลกุกซา (Bulguksa) และวัดช็อกกูรัม (Seokguram
Grotto)
วัดพุลกุกซาหากดูจากแผนที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางทีเดียว
ประกอบด้วยวิหารใหญ่น้อยหลายหลัง ตั้งอยู่บนเชิงเขา ห่างจากตัวเมืองคยองจูออกไปประมาณ
16 กิโลเมตร แต่...เห็นอยู่ห่างออกนอกตัวเมืองอย่างนั้นหากมีรถเมล์ประจำทางแล่นผ่านตลอดทั้งวัน
จึงอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
เมื่อเข้าไปด้านใน
ลักษณะของสถาปัตยกรรมวัดแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่รับมาจากจีนอย่างเด่นชัด
ไม่ว่าจะลักษณะของผังตัววัด ที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นลานสี่เหลี่ยมย่อย ๆ โดยมีระเบียงทางเดินและประตูทางเข้าเชื่อมต่อถึงกัน
ในแต่ละลานจะมีวิหารอยู่หนึ่งหลังเป็นประดุจประธานของพิ้นที่ และ ตรงบริเวณลานด้านหน้าวิหารใหญ่ที่เป็นเสมือนอาคารหลักของตัววัด
วิหารแทอุงจอง (Daeungjeon) มีเจดีย์ขนาดเล็กสององค์
ตั้งอยู่ด้านหน้าซ้ายขวา เจดีย์ทั้งสององค์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเจดีย์ที่งามที่สุดของอาณาจักรชิลลา
ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติ ช่วงที่ฉันไปเยือนนั้น
เจดีย์องค์เล็กทางด้านซ้ายมือ (หันหน้าเข้าหาวิหาร) อยู่ระหว่างซ่อมแซมบูรณะ
มีการสร้างอาคารกระจกล้อมไว้อย่างมิดชิด ทำให้แว่บแรกที่เห็นนึกว่ามีอาคารทรงกล่องสมัยใหม่ที่ไหนโผล่ผุดอยู่กลางลานวัด
จนรู้จากคำอธิบายด้านหน้า ทำให้รู้สึกทึ่งกับกระบวนการการดูแลโบราณสถานของที่นี่
ที่มีการปิดกั้นพื้นที่ที่จะบูรณะอย่างมิดชิด
เก็บทั้งฝุ่น และเสียงได้อย่างหมดจด ขณะเดียวกัน ผู้ที่มาเยือน
ก็ยังมองผ่านกระจกเห็นการบูรณะนั้นได้
เมื่อเดินชมอาคารต่าง
ๆ และพื้นที่รอบ ๆ อดนึกเปรียบเทียบกับวัดพงอึนซาในกรุงโซลไม่ได้
ขณะที่อยู่ในวัดพงอึนซาที่กรุงโซลนั้น
ฉันชอบความเรียบง่ายสงบงามภายในตัววิหารที่ทำให้อยากนั่งนิ่ง ๆ
อยู่ในนั้นเป็นเวลานาน ๆ หากที่นี่เปี่ยมด้วยความร่มรื่น
และความหลากหลายของพันธุ์ไม้ ดอกไม้หลายชนิดแปลกตาสวยงาม ดึงดูดให้ตรงไปเก็บภาพสวย ๆ นั้นไว้.... สมแล้วที่ว่า
หากอยากเห็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของเกาหลีให้ไปชมตามสวนในวัดพุทธต่าง ๆ วัดจึงไม่ได้เป็นเพียงที่ฝึกบ่มจิตใจเท่านั้น
แต่ยังเป็นสถานที่ชูใจให้เบิกบานกับธรรมชาติที่รังสรรค์สิ่งสวยงามอยู่ตลอดเวลา
สวนกับกลุ่มผู้สูงอายุ ขณะเดินเข้าไปในเขตวัด
|
พระศากยมุนี ภายในวิหารแทอุงจอง
|
วิหารมูซอลจอน (Museoljeon) |
วิหารพีโรจอน (Birojeon) ที่ประดิษฐานพระไวโรจนะ
|
พระไวโรจนะภายในวิหารพีโรจอน |
วิหารนาฮันจอน (Nahanjeon) |
จากวัดพุลกุกซามุ่งหน้าต่อไปยังวัดช็อคกูรัม
การไปเยือนวัดช็อคกูรัมนั้นต่างจากวัดพุลกุกซาโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศระหว่างทางเหมือนการจาริกแสวงบุญที่ต้องดั้นด้นเพื่อไปกราบไหว้พระพุทธรูป
ขนาดใหญ่ที่ประดิษฐานภายในถ้ำทรงโดมแปลกตา
เริ่มตั้งแต่เส้นทางที่คดคี้ยวเป็นพิเศษ
ค่อย ๆ ลัดเลาะสู่เขา Tohamsan ซึ่งถ้ามองจากแผนที่แล้วเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบริเวณ เมื่อไปถึงลานจอดรถกว้างด้านล่าง ต้องเดินขึ้นเขาต่อไปอีกราว 500 เมตร นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างเดินไหลตามกันไปเป็นทาง
เมื่อไปถึงด้านบน ปรากฏอาคารหลังเล็ก ๆ สร้างครอบปากทางเข้าถ้ำ ที่เพียง
เดินเข้าไปในอาคารเพียงนิดเดียวก็จะเห็นถ้ำและพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ด้านใน มีกระจกปิดกั้นไว้
แรกที่เห็นภาพพระพุทธรูปและถ้ำจากแผ่นพับก็รู้สึกว่าน่าสนใจอยู่แล้ว
เมื่อเห็นของจริง แม้จะปิดกั้นด้วยกระจกใส
แต่ทั้งองค์พระ และตัวถ้ำงดงาม และน่าพิศวง สมคำอวดอ้างว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของอาณาจักรชิลลา
ตัวถ้ำนั้นน่าพิศวงตรงไม่ได้เป็นถ้ำตามธรรมชาติ
หรือขุดเจาะเข้าไปในภูเขาแต่อย่างใด แต่เป็นถ้ำจำลองที่นำหินแกรนิตสีขาวมาสร้าง
ประกอบด้วยห้องคูหาชั้นนอกทรงสี่เหลี่ยม ทอดสู่ห้องชั้นในทรงกลม ที่เพดานยกสูงเป็นทรงโดม และเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนีขนาดใหญ่ที่สลักจากหินแกรนิตสีขาวทั้งองค์
รูปลักษณ์ของห้องชั้นในทรงกลมที่ยกเพดานสูงเป็นทรงโดม
ทำให้นึกถึงสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นงานแบบนี้ในประเทศแถบเอเชีย
ทั้งยังสร้างขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 751
กลิ่นอายตะวันตกฟุ้งเจือปน
กระทั่งองค์พระพุทธรูปที่สลักจากหินแกรนิต
ตัวจีวรที่ห่มคลุมมีลักษณะเป็นริ้วผ้าแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นลักษณะของพระพุทธรูปในยุคต้น
ๆ ที่ช่างได้รับอิทธิพลจากกรีกและโรมัน ซึ่งจะว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพราะหากไล่เรียงแล้วอินเดียนั้นเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรีกและโรมันมาระยะเวลาหนึ่ง
การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจึงเกิดขึ้น และหากมองตรงผนังหินด้านหลังองค์พระพุทธรูป
จะเห็นวงรัศมีทรงกลมอยู่ในตำแหน่งรองรับกับเศียรองค์พระพอดิบพอดี นี่เป็นอิทธิพลที่รับมาจากกรีกและโรมันอีกเช่นกันที่ช่างมักปั้นรูปเทพเจ้าต่าง
ๆ โดยมีรัศมี halo อยู่ด้านหลัง
ตามความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน
มีองค์เทพเจ้ามากมายปกปักศาสนสถาน และองค์พระพุทธเจ้า รูปแกะสลักฝาผนังด้านหลัง
ตั้งแต่คูหาสี่เหลี่ยมชั้นนอก ไปจนถึงห้องชั้นในทรงกลม จึงเป็นรูปเทพเจ้าต่าง ๆ
ตั้งแต่เทพเจ้าทั้งแปดที่เชื่อกันว่ามีหน้าที่ปกป้องพระพุทธเจ้า นายทวารบาลทั้งสองที่ดูแลทางเข้าศาสนสถาน ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่
พระพรหม พระวิษณุ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวร และสาวกผู้ติดตามทั้งสิบ
แก่นความเชื่อทางตะวันออกที่ถ่ายทอดออกมาเป็นพุทธศิลป์ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
ให้ความรู้สึกน่าพิศวง ขณะเดียวกันกลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่งดงาม สุดท้ายวัฒนธรรม
ความเชื่อบนโลกใบนี้ คงถ่ายเทโอนกันไป กันมาเช่นนี้เอง
อาคารที่สร้างครอบปากทางเข้าถ้ำเมื่อมองจากลานด้านล่าง |
อาคารที่สร้างครอบปากทางเข้าถ้ำ
|