27 กันยายน 2554

เที่ยวเม็กซิโก ตอนที่ 2


2. ฉันจะไปเม็กซิโก
            คนชาติไหน ๆก็มักจะภูมิใจในประเทศของตนกันทั้งนั้น ฉันเอ่ยปากถามไถ่ถึงประเทศเม็กซิโกกับนักเรียนเม็กซิกันทีไร รายไหนรายนั้นเป็นต้องตาวามแวว
                “คณา… เธอต้องไปให้ได้ เม็กซิโกสวยมากนะ เม็กซิโกซิตี้น่ะ เป็นมหานครเทียวนะ ใหญ่เสียกว่าโตเกียว ใหญ่เสียกว่าแบงคอก (แน่ะ… มีการพาดพิงด้วย)” ประโยคทั้งหมดนี้ฉันเรียบเรียงจากคำหลาย ๆ คนได้ใจความเทือกนี้แหละ
                พวกเขาเหล่านั้นอยากให้ฉันไปเยือนประเทศของเขา
                ใกล้กันแค่นี้เอง แค่แม่น้ำขวางกั้น แม่น้ำริโอ แกรนเด พรมแดนธรรมชาติสีเขียวเข้มที่ทอดยาว ใครจะรู้บ้างมั้ยนะว่าชื่อแม่น้ำที่แทบไม่คุ้นหูคนไทยเอาเสียเลยนี้ เป็นแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของเม็กซิโก และยาวเป็นลำดับที่ 5 ของทวีปอเมริกาเหนือ และท้ายสุดเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นลำดับที่ 20 ของโลก
ใจฉันน่ะลอย…ลอยไปไกลแล้ว อยากไปย่ำ อยากไปดู อยากไปเห็นนัก เจ้าประเทศเม็กซิโกเนี่ย
ส่วนผสมมาลงตัวเมื่อฉันได้รู้จักกับยูลี วู สาวมาเลเซีย นักศึกษาหน้าใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ แม่สาวคนนี้ตัวกลม ๆ ป้อม ๆ ยิ้มได้ทั้งวัน อารมณ์ดีสุด ๆ และที่สำคัญ เราเคยผ่านการเดินทางระยะสั้น ๆ ร่วมกัน ได้แลเห็นรสนิยม และเห็นวิธีการใช้ชีวิต ทำให้มั่นใจได้ว่าเราสามารถร่วมเดินทางด้วยกันในสภาวะที่ไม่มีอะไรแน่นอนได้แน่ ๆ
ฉันให้ความสำคัญต่อส่วนผสมนี้เป็นพิเศษ การเดินทางในสภาวะที่ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหน จะกินอะไร และโปรแกรมการเที่ยวที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ ตามสภาวะการณ์ เพื่อนร่วมทางสำคัญยิ่ง ทั้งต้องเป็นเพื่อนร่วมทางที่รสนิยม และแนวคิดต้องกัน คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะเสริมและเป็นสิ่งชูรสที่จะทำให้การเดินทางคราวนั้น ๆ รื่นรมย์ยิ่งขึ้น
ยูลี…ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ว่าเป็นส่วนผสมที่เข้ากับฉันได้ดี
ตอนนั้น ฉันดิ้นรนที่จะหาเพื่อนร่วมทางสักคน เป็นเพื่อนขับรถเที่ยวทางไกลครั้งแรกในดินแดนห่างไกลบ้าน ครั้นถามไถ่ใคร ไม่ยักมีใครสนใจที่จะไปกับฉันสักคน กระทั่งอยู่ดี ๆ นางสาวยูลี วูก็โผล่เข้ามา เป็นสาวต่างชาติหน้าใหม่ในมหาวิทยาลัย ฉันไม่ได้สนใจเจ้าหล่อนนัก หลุดปากถามเจ้าหล่อนไปเล่น ๆ อย่างไม่คาดหวัง
“ขับรถไปเที่ยวด้วยกันมั้ย”
ทันทีที่หล่อนได้ยินคำชวน ก็ระดมคำถามซักไซ้เกี่ยวกับสถานที่ที่จะไป ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจมาสนใจหล่อนอย่างจริงจัง
 ครั้นได้ความ ได้รายละเอียดจากฉันจนพอใจ ยูลีก็ตอบตกลงรับปากฉันอย่างง่าย ๆ
                แล้วทริปนั้นก็กลายเป็นทริปมัน ๆ ในความทรงจำเลยทีเดียว  นับตั้งแต่การขับรถตะลอน ๆ ยามดึกเพื่อหาที่พักที่ล้วนแต่เต็มเอี๊ยดทุกหนทุกแห่ง เพราะฉันดันเดินทางไปตอนหน้าเทศกาลท่องเที่ยวของเมืองพอดี เจ้าของร้านชำเล็ก ๆ ริมทางที่ใจดี ดี๊ ช่วยโทรศัพท์หาที่พักให้สองสาว แถมบอกทางให้อย่างละเอียดยิบ เสียงคนเมาที่เอะอะนอกห้องพัก ที่มาเคาะห้องที่พวกเรานอนพักอย่างเข้าใจผิด  กุญแจรถรถดึกดำบรรพ์ที่ผ่านเจ้าของมาหลายมือ หัก เป๊าะ! เป็นสองเสี้ยวคามือ  ฉันสบตากับยูลี ยูลีสบตาฉัน และเราก็นั่งหัวเราะกันสนั่นข้างรถนั่นเอง… ช่างไม่ได้กลัว หรือสำนึกอะไรกันเลยว่าจะกลับบ้านไม่ได้ ตอนที่เรานั่งหัวเราะด้วยกัน ทำให้ฉันรู้ว่ายูลีเป็นส่วนผสมที่เราจะไปเที่ยวเปิดเปิงที่ไหนกันได้ทุกที่
พอฉันเปรย ๆ กับยูลี เท่านั้นว่าช่วงปีใหม่คราวนี้ไปเที่ยวเม็กซิโกกันเถอะ… ยูลีรับลูกทันควัน แถมไปไกลกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ ปลายทางฉันแค่เม็กซิโก ซิตี้ แต่แม่ยูลีตัวกลม ๆ ป้อม ๆ คิดเลยเถิดไปไกลถึงกัวเตมาลาประเทศเพื่อนบ้านติดกับเม็กซิโกตอนใต้โน่น เจ้าหล่อนว่า ฟังจากเพื่อน ๆ ว่ากันว่าเม็กซิโกตอนใต้สวยมาก ค่าที่เมืองยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก แล้วกัวเตมาลาก็อยู่ใกล้ ๆ แค่นั้นเอง  ฉันเลยต้องติดเบรคแม่เพื่อนตัวป้อมสักหน่อย…วนกันแค่ในประเทศเม็กซิโกก็พอแล้ว
ตกลงกันเป็นหมั่นเป็นเหมาะ ยูลีประสาสาวอัธยาศัยดี ก็ป่าวประกาศโปรแกรมพิเศษให้บรรดาเพื่อน ๆ นักศึกษา รู้ถ้วนทั่ว  แทนที่ใครจะเห็นพ้อง เห็นดีเห็นงาม กลับเป็นห่วงเป็นใยกันไปเสียนี่
"จะไปกันยังไงผู้หญิงสองคน"
"ภาษาสเปนก็ไม่รู้"
"เม็กซิโกอันตรายจะตาย"
สารพัดคำขู่ที่ประดังประเดกันเข้ามา ทำเอาฉันกับยูลีเขวไปเหมือนกัน  พ่อหนุ่มชาวบราซิลที่เป็นเพื่อน
ซี้เราสองคน… เอ็มเมอร์สันรู้โปรแกรมเราสองคน และความตั้งอกตั้งใจที่จะไปให้ได้ ถึงกับอึ้ง และนิ่งไปหลายวัน… เจ้าตัวคงไตร่ตรอง และคิดอยู่นาน ก่อนจะบอกเราสองคนว่า
                “ฉันจะไปด้วย”
                สีหน้าฉันกับยูลีประหลาดใจเต็มที  “ไปทำไม ไม่ต้อง” ฉันกับยูลีร้องลั่น
                “ไปกันได้ไง สองคน ภาษาสเปนก็ไม่รู้” หนุ่มเหน้ากล่าว  “ฉันไปด้วย อย่างน้อยฉันก็พูดสเปนได้”  ที่เอ็มเมอร์สันบอกว่าพูดสเปนได้ นั่นเป็นภาษาที่ชาวบราซิลเลี่ยนใช้คือภาษาโปรตุกีส ที่คล้ายคลึงกับสแปนิชมาก พ่อหนุ่มเลยฟุตฟิตฟอไฟกับพวกเม็กซิกันได้สบายมาก
                “ไม่ต้อง ฉันไปกันได้” ฉันกับยูลีช่วยกันย้ำกับเอ็มเมอร์สัน จนเอ็มเมอร์สันรามือ ปล่อยให้เราสองคนไปกันตามลำพัง
                เพื่อนฉันคนนี้น่ารักดีแท้….เอ็มเมอร์สันไม่ใช่คนชอบเที่ยว ไม่ชอบไปไหนถ้าไม่จำเป็น การที่เอื้อนเอ่ยอาสาออกมา แสดงถึงความมีน้ำใจ และความห่วงใยที่เพื่อนต่างชาติต่างภาษาที่บังเอิญมาเจอะเจอกัน มีให้กัน เอ็มเมอร์สันเคยกล่าวเสมออย่างภูมิใจในความเป็นบราซิลเลี่ยนของเขา   “ผู้ชายบราซิลต้องคอยดูแลผู้หญิง พวกเราไม่ให้ผู้หญิงทำอะไรให้หรอก” นี่แหละ… คือเอ็มเมอร์สัน  การที่ฉันกับยูลีปฏิเสธความหวังดีของเอ็มเมอร์สัน เพราะรู้ดีว่า เอ็มเมอร์สัน ไม่ได้อยากไปเที่ยวด้วยจริง ๆ เพียงแต่เป็นห่วงเราสองคนประสาหนุ่มบราซิลเลี่ยนที่แสนดี และที่มากกว่านั้น หมอเป็นหนุ่มเจ้าสำอางค์ … กินต้องดี … อยู่ต้องดี…. ขืนหอบหิ้วเอ็มเมอร์สันไปด้วย เราได้ตีกันตายเรื่องที่หลับที่นอน อาหารการกินแน่…. อย่าเสียเพื่อนเลยจะดีเสียกว่า….
ตัดสินใจเลือกวันเดินทาง แล้วไปทำวีซ่าผ่านเข้าเมืองเรียบร้อย ฉันกับยูลีค่อยขุดคุ้ยข้อมูลที่มากกว่าคำว่าเม็กซิโก ซิตี้  แหล่งข้อมูลก็จากบรรดาเพื่อน ๆ ชาวเม็กซิกันนี่แหละ
"เม็กซิโกซิตี้ มีปิรามิด ควรไปดูปิรามิด" ฉันกับยูลีเพิ่งจะได้ยินนี่แหละว่าเม็กซิโกมีปิรามิด
"ไปวานนาฮัวโต้ (Guanajuato) แล้วก็ ซาคาเทคัส (Zacatecas) พวกนี้เป็นเมืองอาณานิคมของสเปนสวยมาก"
และท้ายสุด หลายคนแนะนำ มอนเตอเรย์ (Monterrey) ในฐานะเมืองอุตสาหกรรมสำคัญ และเป็นเมืองใหญ่อันดับสาม
ฉันกับยูลีกางแผนที่ประเทศเม็กซิโกดูด้วยกัน เราจะเริ่มเดินทางจากเมืองนูโว ลาเรโด ซึ่งเป็นเมืองคู่
แฝดกับเมืองลาเรโดที่เราอยู่ เพื่อขึ้นรถตรงไปยังเมืองวานนาฮัวโต้ จากนั้นมุ่งสู่เม็กซิโก ซิตี้ ต่อไปยังเมืองซาคาเทคัส และจบลงที่เมืองมอนเตร์เรย์ก่อนกลับสู่เมืองนูโว ลาเรโดอีกครั้งลองลากเส้นการเดินทางดูแล้ว เป็นรูปสามเหลี่ยมเข้าท่าเข้าทางไม่เลวเลยทีเดียว







Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com