“Do you speak English?” ฉันกับยูลีหันขวับไปที่ต้นเสียงทันที ประหลาดใจว่าใครหนอมาทักทายแบบนี้
“Yes, we do”
ขาดเสียงขานรับของเราสองคน
หนุ่มอเมริกันรายนั้นก็ยิ้มหราอย่างถูกอกถูกใจ คงกำลังอึดอัดใจเต็มที
ที่หันซ้ายแลขวาไปทางไหนก็ไม่รู้จะพูดภาษาอังกฤษกับใคร เพราะที่เม็กซิโกพอพ้นเมืองหลวงออกมาแล้ว
ดูเหมือนจะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษสักราย พอเห็นเหยื่อสาวชาวเอเชียสองรายโผล่ให้เห็น
เลยรีบเข้ามาทักทาย และไม่ผิดหวัง
Octavid เดินทางมาเดี่ยว…
จริง ๆ ถึงเขาจะเป็นหนุ่มอเมริกัน แต่เป็นอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน….
จึงพูดภาษาสเปนได้คล่องแคล่ว… แต่ถึงอย่างนั้นพอเจอคนพูดภาษาอังกฤษได้ก็อยากจะเข้ามาพูดคุยด้วย
เขาชักชวนเราเข้าไปนั่งดื่มกาแฟในร้านใกล้
ๆ ด้วยกัน…
สงสัยต้องยืมคำของท่านโกวเล้งมาใช้สักหน่อย
รสชาติของกาแฟที่ดื่มเข้าไปเวลานั้นแทบไม่รู้รส
เพราะบทสนทนาระหว่างเราสามคนกลมกล่อมดีเหลือเกิน
Octavid เล่าให้เราฟังถึงการเดินทางของเขา
เขาตั้งใจจะตะลอนไปตามเมืองอาณานิคมของสเปนให้ทั่ว เมืองแรกที่แวะไปเยือนเหมือนกับเราสองคน
คือเมืองวานนาฮัวโต้ เขาพักที่นั่นถึง 6 วันเเข้าขีดหลงไหลสุด
ๆ จนไม่อยากจะขยับเขยื้อนไปไหนต่อ ต้องตัดใจทำใจอยู่โขทีเดียว
ถึงได้เดินทางมาต่อที่เมืองซาคาเทคัส (Zacatecas) แห่งนี้ได้
Octavid พูดภาษาสเปนได้…เขาเลยมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวในวานนาฮัวโต้เล่าให้เราฟัง
ไม่ว่าจะเป็นตลาดฮิวดาโก้… เรื่องราวของมิกุเอล
ฮิวดาโก้ที่เป็นคนประกาศอิสรภาพของเม็กซิโกเหนือสเปน….
หนุ่มอเมริกันสารภาพกับเราว่า
แรกเห็นเราสองคน รู้สึกประหลาดใจสุด ๆ ที่จู่ ๆ ก็ได้เห็นสาวเอเชียสองคนในเมืองซาคาเทคัส
และยิ่งรู้ว่าฉันกับยูลีมาจากคนละประเทศยิ่งส่ายหัว หากปากพร่ำว่า… “ดีแล้ว…ดีแล้ว…การเที่ยวเป็นการเปิดหู เปิดตา
และได้เรียนรู้ผู้คน”…. ฉันขอเพิ่มเสริมถ้อยประโยคของ Octavid
ได้มั้ยคะ… การเที่ยวยังเป็นการฝึกใจและฝึกความอดทนด้วย
การเดินทางจากเม็กซิโก ซิตี้
มาซาคาเทคัส ทำให้ฉันเปิดใจต้องยอมรับว่า ไม่มีที่ไหนในโลกหรอก… ที่คนจะน่ารักไปเสียทั้งหมด
คนที่ไม่ใส่ใจไม่สนใจคนอื่นมีถมเถไป
การเริ่มต้นของฉันกับยูลีสำหรับเมืองซาคาเทคัสไม่ดีเอาเสียเลย
เริ่มจากคนขายตั๋วรถให้ฉันกับยูลีที่ท่ารถที่เม็กซิโก ซิตี้ไม่ได้สนใจสักนิดว่าเขาขายตั๋วรถอะไรให้เรา… ไม่มีคำอธิบาย
ไม่มีการชี้บอกทาง มีแต่สีหน้าที่บึ้งตึงและแสดงอาการรำคาญ เอือมเต็มทนที่เราพยายามจะซักไซ้ ไล่เรียง
ถามไถ่โน่นนี่จากเขาอยู่นั่นแหละ
เจ้าหน้าที่เขียนหมายเลขชานชาลาสำหรับรถเข้าเทียบจอดให้เราแบบเหวี่ยงแหหรือส่ง
ๆ ก็ไม่รู้ ตั้งแต่ชานชาลาหมายเลข 22
ไปถึงหมายเลข 29 โน่น ทำนองให้ไปเดินหาเอาเอง
กว่าจะหารถเจอก็แย่แล้ว ฉันกับยูลียังลงผิดเมืองอีก
ครั้นซื้อตั๋วรถใหม่เพื่อจะเดินทางไปต่อก็เจอคนขายตั๋วที่ไม่น่ารักซ้ำสองอีกครั้ง แถมหวุดหวิดจะหารถที่จะเดินทางไปต่อไม่เจออีก เพราะคนขายตั๋วขายตั๋วรถบริษัทฯอื่นให้เรา
ทั้งที่เคาน์เตอร์ที่เขานั่งอยู่ เป็นของบริษัทรถอีกบริษัทหนึ่ง งงมั้ยคะ… ฉันกับยูลียิ่งงงใหญ่ เดินหารถยังไงก็ไม่เจอ… แต่ยังดีคนแถวนั้น
เห็นเราสองคนหน้านิ่วคิ้วขมวด เดินวนเวียนถือตั๋วว่อนไปมาหลายรอบ
เลยเข้าช่วยหารถให้ แต่ขนาดคนของเขาเองยังหารถให้เราไม่เจอเลย โชคดีที่คนขับรถมาเดินต้อนหาลูกค้า เจอเราเข้า
เลยโชคดีไป ไม่งั้นตกรถแบบเห็น ๆ
รถบัสเข้าเมืองซาคาเทคัส
ไม่ยักไปจอดเป็นที่เป็นทางที่สถานีรถเหมือนที่อื่นๆ แต่ไปจอดสุดสายเอาข้างถนนดื้อ
ๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นสำคัญให้จับสังเกตุได้เลยว่า…. ณ
จักรวาลกว้างใหญ่ของเมืองซาคาเทคัส… ฉันกับยูลีอยู่ ณ
จุดไหนของเมือง แถมคนขับรถ และคนโดยสายสลายตัวหายกันไปอย่างรวดเร็วมาก
จนฉันกับยูลีตั้งตัวกันไม่ทัน ให้ตายเถอะ…
ไม่เคยเคว้งที่ไหนเท่าที่นี่มาก่อนเลย
ฉันกับยูลีต้องหอบหิ้วกระเป๋าตั้งหลักคลำทาง เดินหาชื่อป้ายถนน
เทียบกับแผนที่ที่มีอยู่ในมือ อย่างน้อยกำหนดจุดได้คร่าว ๆ
ว่าอยู่ตรงไหนบริเวณไหนของเมืองได้ก่อนก็ยังดี
จากนั้นเรามองหาตู้โทรศัพท์
โทรไปตามโรงแรมทุกแห่งที่จดชื่อมา… ได้ผล.. ทันทีที่ได้ยินเราพูดภาษาอังกฤษ ทุกคนวางหูกันหมด ฉันกับยูลีเลยต้องเดินหอบสัมภาระ
ตัดสินใจลุยไปที่พักที่สุ่มเลือกไว้ จะเต็มไม่เต็ม ก็ต้องไปถามถึงที่กันล่ะ
ในเมื่อไม่สามารถสอบถามกันทางโทรศัพท์ได้
ที่พักที่ฉันกับยูลีตั้งใจจะไปพัก
ไม่มีป้าย หรือสัญลักษณ์อะไรแสดงให้เห็นว่าเป็นโรงแรม
ดีที่หนังสือท่องเที่ยวที่เราถ่ายสำเนาเก็บไว้
บอกไว้ชัดเจนให้สังเกตุที่หน้ากระจกตึกด้านหน้าจะมีคำว่า HP นั่นแหละ…
ถึงที่หมายแล้ว
โชคดีที่ที่พักไม่เต็ม…
ไม่งั้นการเริ่มต้นที่เมืองซาคาเทคัสคงวุ่นวายกว่านี้
ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ตอนที่ 7 ตอนที่ 8 ตอนที่ 9 ตอนที่ 10 ตอนที่ 11 ตอนที่ 12 ตอนที่ 13 ตอนที่ 14 ตอนที่ 15 ตอนที่ 16 ตอนที่ 17 บทส่งท้าย
Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com