12 กรกฎาคม 2555

เที่ยวเม็กซิโกตอนที่ 15


การเดินทางคือการเปิดหู เปิดตา และเรียนรู้ผู้คน


                “Do you speak English?” ฉันกับยูลีหันขวับไปที่ต้นเสียงทันที ประหลาดใจว่าใครหนอมาทักทายแบบนี้
                “Yes, we do”
ขาดเสียงขานรับของเราสองคน หนุ่มอเมริกันรายนั้นก็ยิ้มหราอย่างถูกอกถูกใจ คงกำลังอึดอัดใจเต็มที ที่หันซ้ายแลขวาไปทางไหนก็ไม่รู้จะพูดภาษาอังกฤษกับใคร  เพราะที่เม็กซิโกพอพ้นเมืองหลวงออกมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษสักราย พอเห็นเหยื่อสาวชาวเอเชียสองรายโผล่ให้เห็น เลยรีบเข้ามาทักทาย และไม่ผิดหวัง
Octavid เดินทางมาเดี่ยวจริง ๆ ถึงเขาจะเป็นหนุ่มอเมริกัน แต่เป็นอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน…. จึงพูดภาษาสเปนได้คล่องแคล่วแต่ถึงอย่างนั้นพอเจอคนพูดภาษาอังกฤษได้ก็อยากจะเข้ามาพูดคุยด้วย 
เขาชักชวนเราเข้าไปนั่งดื่มกาแฟในร้านใกล้ ๆ ด้วยกันสงสัยต้องยืมคำของท่านโกวเล้งมาใช้สักหน่อย รสชาติของกาแฟที่ดื่มเข้าไปเวลานั้นแทบไม่รู้รส เพราะบทสนทนาระหว่างเราสามคนกลมกล่อมดีเหลือเกิน  Octavid เล่าให้เราฟังถึงการเดินทางของเขา เขาตั้งใจจะตะลอนไปตามเมืองอาณานิคมของสเปนให้ทั่ว  เมืองแรกที่แวะไปเยือนเหมือนกับเราสองคน คือเมืองวานนาฮัวโต้ เขาพักที่นั่นถึง 6 วันเเข้าขีดหลงไหลสุด ๆ จนไม่อยากจะขยับเขยื้อนไปไหนต่อ ต้องตัดใจทำใจอยู่โขทีเดียว ถึงได้เดินทางมาต่อที่เมืองซาคาเทคัส (Zacatecas) แห่งนี้ได้
Octavid พูดภาษาสเปนได้เขาเลยมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวในวานนาฮัวโต้เล่าให้เราฟัง ไม่ว่าจะเป็นตลาดฮิวดาโก้เรื่องราวของมิกุเอล ฮิวดาโก้ที่เป็นคนประกาศอิสรภาพของเม็กซิโกเหนือสเปน….
หนุ่มอเมริกันสารภาพกับเราว่า แรกเห็นเราสองคน รู้สึกประหลาดใจสุด ๆ ที่จู่ ๆ ก็ได้เห็นสาวเอเชียสองคนในเมืองซาคาเทคัส และยิ่งรู้ว่าฉันกับยูลีมาจากคนละประเทศยิ่งส่ายหัว หากปากพร่ำว่า… “ดีแล้วดีแล้วการเที่ยวเป็นการเปิดหู เปิดตา และได้เรียนรู้ผู้คน”…. ฉันขอเพิ่มเสริมถ้อยประโยคของ Octavid ได้มั้ยคะการเที่ยวยังเป็นการฝึกใจและฝึกความอดทนด้วย
การเดินทางจากเม็กซิโก ซิตี้ มาซาคาเทคัส ทำให้ฉันเปิดใจต้องยอมรับว่า ไม่มีที่ไหนในโลกหรอกที่คนจะน่ารักไปเสียทั้งหมด คนที่ไม่ใส่ใจไม่สนใจคนอื่นมีถมเถไป
การเริ่มต้นของฉันกับยูลีสำหรับเมืองซาคาเทคัสไม่ดีเอาเสียเลย เริ่มจากคนขายตั๋วรถให้ฉันกับยูลีที่ท่ารถที่เม็กซิโก ซิตี้ไม่ได้สนใจสักนิดว่าเขาขายตั๋วรถอะไรให้เราไม่มีคำอธิบาย ไม่มีการชี้บอกทาง มีแต่สีหน้าที่บึ้งตึงและแสดงอาการรำคาญ  เอือมเต็มทนที่เราพยายามจะซักไซ้ ไล่เรียง ถามไถ่โน่นนี่จากเขาอยู่นั่นแหละ  เจ้าหน้าที่เขียนหมายเลขชานชาลาสำหรับรถเข้าเทียบจอดให้เราแบบเหวี่ยงแหหรือส่ง ๆ ก็ไม่รู้  ตั้งแต่ชานชาลาหมายเลข 22 ไปถึงหมายเลข 29 โน่น ทำนองให้ไปเดินหาเอาเอง กว่าจะหารถเจอก็แย่แล้ว ฉันกับยูลียังลงผิดเมืองอีก ครั้นซื้อตั๋วรถใหม่เพื่อจะเดินทางไปต่อก็เจอคนขายตั๋วที่ไม่น่ารักซ้ำสองอีกครั้ง  แถมหวุดหวิดจะหารถที่จะเดินทางไปต่อไม่เจออีก เพราะคนขายตั๋วขายตั๋วรถบริษัทฯอื่นให้เรา ทั้งที่เคาน์เตอร์ที่เขานั่งอยู่ เป็นของบริษัทรถอีกบริษัทหนึ่ง งงมั้ยคะฉันกับยูลียิ่งงงใหญ่ เดินหารถยังไงก็ไม่เจอแต่ยังดีคนแถวนั้น เห็นเราสองคนหน้านิ่วคิ้วขมวด เดินวนเวียนถือตั๋วว่อนไปมาหลายรอบ เลยเข้าช่วยหารถให้ แต่ขนาดคนของเขาเองยังหารถให้เราไม่เจอเลย  โชคดีที่คนขับรถมาเดินต้อนหาลูกค้า เจอเราเข้า เลยโชคดีไป ไม่งั้นตกรถแบบเห็น ๆ
รถบัสเข้าเมืองซาคาเทคัส ไม่ยักไปจอดเป็นที่เป็นทางที่สถานีรถเหมือนที่อื่นๆ แต่ไปจอดสุดสายเอาข้างถนนดื้อ ๆ  ที่ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นสำคัญให้จับสังเกตุได้เลยว่า…. ณ จักรวาลกว้างใหญ่ของเมืองซาคาเทคัสฉันกับยูลีอยู่ ณ จุดไหนของเมือง แถมคนขับรถ และคนโดยสายสลายตัวหายกันไปอย่างรวดเร็วมาก จนฉันกับยูลีตั้งตัวกันไม่ทัน  ให้ตายเถอะไม่เคยเคว้งที่ไหนเท่าที่นี่มาก่อนเลย
ฉันกับยูลีต้องหอบหิ้วกระเป๋าตั้งหลักคลำทาง  เดินหาชื่อป้ายถนน เทียบกับแผนที่ที่มีอยู่ในมือ อย่างน้อยกำหนดจุดได้คร่าว ๆ ว่าอยู่ตรงไหนบริเวณไหนของเมืองได้ก่อนก็ยังดี
จากนั้นเรามองหาตู้โทรศัพท์ โทรไปตามโรงแรมทุกแห่งที่จดชื่อมาได้ผล.. ทันทีที่ได้ยินเราพูดภาษาอังกฤษ ทุกคนวางหูกันหมด  ฉันกับยูลีเลยต้องเดินหอบสัมภาระ ตัดสินใจลุยไปที่พักที่สุ่มเลือกไว้ จะเต็มไม่เต็ม ก็ต้องไปถามถึงที่กันล่ะ ในเมื่อไม่สามารถสอบถามกันทางโทรศัพท์ได้
                ที่พักที่ฉันกับยูลีตั้งใจจะไปพัก ไม่มีป้าย หรือสัญลักษณ์อะไรแสดงให้เห็นว่าเป็นโรงแรม ดีที่หนังสือท่องเที่ยวที่เราถ่ายสำเนาเก็บไว้ บอกไว้ชัดเจนให้สังเกตุที่หน้ากระจกตึกด้านหน้าจะมีคำว่า HP นั่นแหละถึงที่หมายแล้ว
                โชคดีที่ที่พักไม่เต็มไม่งั้นการเริ่มต้นที่เมืองซาคาเทคัสคงวุ่นวายกว่านี้


Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com