27 พฤษภาคม 2554

ทางรถไฟสายโรแมนติค (เกียวโต)

หมายเหตุ เรื่องนี้ตีพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์์


ใครว่า เกียวโต มีแต่วัด วัด วัด และศาลเจ้า เกียวโตไม่ได้มีแต่วัด วัด วัด และศาลเจ้าเพียงอย่างเดียว สถานที่เที่ยวทางธรรมชาติก็มีเช่นกัน....



และที่หย่อนใจทางธรรมชาติที่เป็นที่นิยมนักหนาคือทางรถไฟสายโรแมนติก

ทางรถไฟสายโรแมนติคเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า รถไฟสายซากาโน่ ตั้งอยู่ในย่าน อาราชิยามา (Arashiyama)  อันเป็นย่านเที่ยวเล่น พักผ่อนของชาวเีกียวโต ที่เป็นที่นิยมเอามากๆ แล้วก็ต้องเชื่อจริงๆ  เพราะแค่นั่งรถเมล์เข้าไปในเขตนั้นก็สัมผัสได้แล้ว.... ผู้คนมหาศาล เดิน เที่ยว กิน ช้อป เต็มสองข้างถนน  ท่ามกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยงปร้าง  น่าทึ่ง ตรงช่างไม่ยี่หระกับแสงแดดกันเสียจริง เพื่อนร่วมบ้านที่ปล่อยตัวแล้วแต่ฉันจะหิ้วพาไปที่ไหน ขยับตัวเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ กระแสความคึกคักส่งกลิ่นอาย...โชย...มาถึง จนต้องเอ่ยปากถาม
 “ที่ไหนเนี่ย?”
 “อาราชิยามา.... เราจะไปนั่งรถไฟสายโรแมนติกกัน”
 ฉันบอกอย่างภูมิใจ  จากวัด และวัด และวัด จะได้เปลี่ยนบรรยากาศเป็นชื่นชมธรรมชาติเดี่ยวๆ เสียบ้าง

แต่นั่นแหละ อย่างที่เคยบอก ....ผังเมืองของเกียวโตเป็นรูปสี่เหลี่ยม  สมัยก่อนห้ามสร้างวัดภายในเขตนคร  เมื่อห้ามนัก ก็เลยออกมาสร้างกันนอกเขต ทำให้วัดสำคัญๆ ของเกียวโตส่วน ใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตหุบเขาที่หลีกลี้ออกมา... เขตอาราชิยามา ไกลห่างออกมา  แม้มีชื่อเสียงเรื่องธรรมชาติที่งดงาม  ก็ยังมีวัด และวัด และวัด รวมทั้งศาลเจ้าจำนวนมากตั้งอยู่บริเวณนี้

ขณะตั้งหลักมองฝ่าเปลวแดดที่ส่องระยิบออกไปข้างนอก  รู้สึกทึ่งกับบรรดาคนญี่ปุ่นที่เดินฉับๆ  ช่างเดินกันเก่งเสียจริง ไม่กลัวแดดกันเสียเลย  พวกสาวๆ เห็นออกมาเดินกันแบบนี้แต่งตัวกันสวยๆ ทั้งนั้น ใส่ส้นสูงเดิน ฉับ ฉับ กันคล่องแคล่ว  บางคนถือร่มกางกั้นแดด  แต่ส่วนใหญ่จะถือ พัด มากกว่า ถือติดไม้ติดมือทั้งหญิงและชาย มีทั้งแบบพลาสติกแข็งๆ และแบบที่เป็นพัดจีบพับเก็บได้ พอจะใช้ก็แค่คลี่สะบัดออก โบกพัดไล่ไอร้อนไปมา  เห็นแล้วน่าสนุก ถ้าหยิบพัดสานจากไม้ไผ่บ้านเราติดมือมาด้วย เวลาเอาออกมาพัดโบก คงเก๋ดีพิลึก

คนญี่ปุ่นชอบเดิน และขี่จักรยาน ตามถนนหนทางในเกียวโตไม่ ว่าจะย่านไหน จะมีผู้คนขี่จักรยานเป็นพาหานะกันมากมาย  เวลาเดินๆ ไปตามทางเท้าต้องคอยระวัง เพราะจะมีรถจักรยานเอี่ยวขอใช้ทางด้วย  ดูแล้วก็น่าอิจฉาที่การสัญจรของชาวเกียวโตมีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถเมล์ รถไฟใต้ดิน ไปถึงรถไฟเชื่อมระหว่างเมือง

ตอนลงจากรถเมล์ มองแดดด้านนอกแล้วรู้สึกท้อขึ้นมา ยอมรับว่าเห็นเปลวแดดที่เต้นระยิบแล้วสู้ไม่ไหวจริงๆ ที่คิดจะเดินเที่ยวชมโน่น ชมนี่เลยเปลี่ยนใจเสียเฉยๆ  กระทั่งเห็น สะพานโทเก็ตสึ (Togetsu) ที่ทอดข้ามผ่านแม่น้ำที่เป็นเสมือนหนึ่งในสัญลักษณ์ must-see ของที่นี่ ลิบๆ ยังเมินเฉย ไม่ขยับเท้ารี่เข้าหา กลับเอ่ยชักชวนเพื่อนร่วมบ้านไปทางอื่น
 “หาสถานีรถไฟซากาดีกว่า”
 ใจตอนนั้นคิดแต่ว่า ได้นั่งรถไฟชมวิวคงจะดีกว่าเดินฝ่าเปลวแดดเที่ยวชมโน่นชมนี่เป็นแน่

แต่.... แค่เดินหา สถานีรถไฟซากา ก็ย่ำแย่เสียแล้ว ขนาดหยิบแผนที่จากบูธที่วางแจกนักท่องเที่ยวแท้ๆ ยังเดินหลุดไปหลุดมา งง !!!  หลงอีกแล้ว  แผนที่ญี่ปุ่นต้องไม่มีมาตราส่วนแน่ๆ  อะไรใกล้-ไกล ถึงได้เพี้ยนไปหมด เพื่อนร่วมบ้านฉันแย้งขึ้นมา
“มีสิ แผนที่ก็ต้องมีสเกล.... แต่หมายถึงแผนที่ซื้อนะ ไม่ใช่แจก”   ...แล้วจะพูดทำไมเนี่ย...

เดินหลุดไปหลุดมา กระทั่งไปเจอ วัดเท็นเรียวจิ (Tenryuji)  อันเป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของบริเวณนี้ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกด้านวัฒนธรรม แต่... ณ ตอนนั้นไม่มีอารมณ์ที่จะเข้าไปเที่ยวชมวัดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย

แต่กระนั้นเมื่อผ่านวัดไปทางด้านหลัง ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านก็เจอเข้ากับ สวนไผ่ ที่ขึ้นขนาบทางเดินแคบๆ ทั้งสองด้าน  สวย.... ในใจต้องหลุดคำนั้นออกมา สวยจริงๆ

ต้นไผ่ที่สูงเสียดขึ้นสองข้างทางอวดลวดลายของลำต้นที่เป็นปล้องๆ บดบังแดดที่ส่องจ้าด้านบน ให้เห็นแสงพอรำไร นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินผ่านเข้าไปตามทางที่ผ่าเข้าไปกลางสวนไผ่นั้น

ใครได้มาเผชิญสวนไผ่แห่งนี้เข้าคงคุ้นตา เพราะเป็นสถานที่ที่ได้ขึ้นอวดบนเว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่น หลายเจ้า ถ้าอากาศไม่ร้อนจัด และสภาพร่างกายพร้อมกว่านี้  ฉันคงไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปลุยข้างในเช่นกัน

ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านตัดใจเดินเลี้ยวออกจากทางที่ผ่าเข้าไปกลางสวนไผ่ เพราะจะยิ่งนำพาไปให้ห่างไกลจากสถานีรถไฟ  แต่ในใจก็ยังอดนึกดีใจไม่ได้ ที่เดินกันเฟอะฟะมาจนได้เห็นสวนไผ่ที่อาราชิยามาจนได้

เดินวนไปวนมา กระทั่งมาตั้งต้นกันใหม่ที่จุดเดิม จุด ณ ที่ลงจากรถเมล์น่ะแหละ  เอาเป็นว่าเริ่มกันใหม่ ลองจับทิศทางกันใหม่ คราวนี้จากที่ตอนแรกไปทางฝั่งขวา ลองเปลี่ยนเป็นฝั่งซ้าย (หันหน้าไปทางสะพานโทเก็ตสึ)  ดูบรรยากาศแล้วดูเหมือนทางเดินฝั่งซ้ายจะไม่ได้นำพาไปยังที่เที่ยวสำคัญๆ เหมือนทางเดินฝั่งขวา แต่ก็มีคนใช้เส้นทางนี้ไม่น้อย
 “แหงๆ ใช่แน่ๆ”  เพื่อนร่วมบ้านมั่นอกมั่นใจขึ้นมาเชียว  “เดินตามกันไปเยอะๆ แบบนี้ ต้องใช่แน่ๆ”
 แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย ในที่สุดเราก็เห็นอาคารสีส้ม มีหัวจักรรถไฟแบบโบราณวางแสดงอยู่ด้านหน้า...Saga Torokko Station
รีบตรงรี่เข้าไปข้างในทันที ด้วยทั้งร้อน และเหนื่อย

บรรยากาศภายในคึกคัก หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วมีจอทีวีติดตั้งด้านบนหลายจอ ฉายวนทำการตลาดให้นักท่องเที่ยวที่หลุดเข้ามาระหว่างทำการตัดสินใจว่าจะซื้อ ตั๋วชมวิวทางรถไฟสายโรแมนติคดีหรือไม่ ได้ชมดูความงามของทิวทัศน์สองข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่านซึ่งจะแตกต่างตามฤดูกาลที่เปลี่ยนไป
 ฤดูใบไม้ร่วง  ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน
 ดูแล้วใจไม่อ่อนยวบให้มันรู้ไป
 ฤดูใบไม้ร่วง ใบเมเปิลเปลี่ยนสีเป็นสีส้มแดง
 ฤดูหนาว เวิ้งว้าง เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
 ฤดูใบไม้ผลิ ซากุระออกดอกสีชมพูสะพรั่ง
 ฤดูร้อน เผยให้เห็นต้นไม้สีเขียวขจี

แถวของนักท่องเที่ยวที่ยืนต่อคิวซื้อตั๋วไม่ยาวเท่าไหร่ พอใจชื้นว่าน่าจะได้ตั๋ว เพราะเคยอ่านเจอมาก่อนว่า ทางรถไฟสายนี้เป็นที่นิยมมาก




ควรจะจองซื้อตั๋วล่วงหน้าที่สถานีรถไฟเกียวโตดีกว่ามาสุ่มเสี่ยงซื้อที่นี่

รถไฟสายซากาโน่ เป็นทางรถไฟสายเก่า ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรับปรุงขึ้น เพื่อเป็นทางรถไฟสำหรับชมวิวโดยเฉพาะ แล่นเลาะเลียบผ่านริมผา ข้ามแม่น้ำ ลอดอุโมงค์ และขึ้นเขา ใช้ระยะเวลาในการวิ่ง 25 นาที เริ่มจากสถานี ซากา โทรกโกะ (Saga Torokko) ผ่านสถานีอาราชิยามา โทรกโกะ (Arashiyama Torokko) สถานีโฮสุเคียว โทรกโกะ (Hozukyo Torokko) และสิ้นสุดที่สถานีคาเมะโอกะ โทรกโกะ (Kameoka Torokko)

เวลาในการแล่นของรถไฟแค่ 25 นาที แต่ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านใช้เวลานั่งรอ 3 ชั่วโมง!! ก็เถอะ บอกแล้วว่ารถไฟสายนี้ป๊อป

แต่ไม่ต้องกริ่งเกรงกับเวลาสามชั่วโมง ด้วยติดกับตัวอาคารสถานี มีห้องโถงขนาดใหญ่ ถ้าเดินอ้อมไปด้านหน้านอกตัวอาคารจะเห็นป้ายติดไว้ว่า 19 Century Hall  SL & Piano Museum  ห้องโถงนั้นเปิดโล่งกว้าง มุมด้านหนึ่งวางโทรทัศน์ ที่ฉายวนซ้ำให้เห็นบรรยากาศและความงามของทิวทัศน์ทางรถไฟสายโรแมนติก ใกล้ๆ มีโต๊ะเก้าอี้วางตั้งไว้เป็นชุดๆ เหมือนโต๊ะเก้าอี้ในอาคารโรงอาหารตามสถานศึกษาของบ้านเรา บริเวณนั้นจับจองนั่งพักได้ตามสะดวก มุมด้านตรงข้าม มีหัวจักรรถไฟโบราณวางแสดง และถัดมาด้านข้างที่ไม่น่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย เป็นรูปปั้นผู้ชายในชุดตะวันตกสมัยก่อน ท่วงท่าที่ยืนและอุปกรณ์ที่ถือ บ่งว่าน่าจะเป็นคีตกวี

ฉันยังแปลกใจตัวเอง รวมถึงเพื่อนร่วมบ้านที่ผลัดกันเดินวนไปดูหัวจักรรถไฟ  ดูนั่นดูนี่ แต่ไม่ยักสนใจที่จะเดินไปดูรูปปั้นดังกล่าว อย่างดีก็ทอดสายตาไปมอง ว่า เออ แปลกดี ก็เลยไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นรูปปั้นของใคร หรืออย่างที่บอกไว้ ว่าด้านนอกอาคารติดป้ายไว้ว่า 'พิพิธภัณฑ์เปียโน' ในนี้อาจจะเคยเป็นพิพิธภัณฑ์เปียโนก็ได้ แต่พอเวลาเลื่อนไหล ผสมกับพฤติกรรมผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในอาคาร เลยเปลี่ยนเป็นวางแสดงหัวจักรรถไฟโบราณแทน

ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านนั่งจับจองพื้นที่ตรงโต๊ะ ม้านั่งใกล้ๆ กับจอโทรทัศน์ ฉวยโอกาสพักนั่งอ่านหนังสือ จดบันทึกอะไรฆ่าเวลาไปเรื่อย
"ว่ามั้ย..." เพื่อนร่วมบ้านเปิดประเด็นขึ้นมา  “ในนี้มีแต่เด็กกับคนแก่เข้ามานั่งพัก”  บุ้ยใบ้ให้ฉันมองไปรอบๆ “ไม่มีวัยรุ่น หนุ่มๆ สาวๆ เลย”
“อ้าว รุ่นเรายังไม่แก่สักหน่อย”  ฉันแย้งแบบไม่ยอม
 “รุ่นเราก็มี  แต่เข้ามาเฉพาะพวกที่มีเด็กเล็กๆ นี่แสดงว่าภูมิต้านทานเราสองคนเท่ากับคนแก่กับเด็กนะเนี่ย” โหพูดทำไมเนี่ย ฟังแล้วสะทกสะท้อนใจชอบกล
 “ก็แดดมันร้อนจะตาย”  ฉันบ่นงึมงำ แต่พอนั่งพักไปได้สักครู่  ร่างกายเริ่มฟื้นตัว เท้าชักเริ่มขยับ ชักเริ่มอยากออกไปสำรวจข้างนอก (อีกแล้ว)  ลองหยั่งเชิงด้วยการเดินโผล่ออกไปนอกอาคาร  แดดสาดเปรี้ยง เปรี้ยง ปะทะใบหน้า ปะทะลำตัว ทำเอาต้องหดตัวกลับไปซุกร่างในอาคารตามเดิม .... ได้ข้อสรุปรอนั่งรถไฟสายโรแมนติกออกชมวิวน่ะดีแล้ว

และแล้วเมื่อถึงเวลา รถไฟสายโรแมนติก ก็แล่นเข้าเทียบชานชาลา
 หน้าต่างโบกี้รถไฟเปิดโล่ง ตั้งใจให้ผู้โดยสารได้นั่งชมวิวสองข้างทางอย่างเต็มที่
เข็มนาฬิกาเคลื่อนถึงเวลากำหนดออก  รถไฟก็ออกตัวเคลื่อนขยับช้าๆ
ตื่นเต้น.... ความรู้สึกนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย ตั้งแต่เล็กยันโต เป็นทุกครั้งที่ได้นั่งรถไฟ
 เคยถามตัวเอง พาหนะแบบไหนที่โปรดสุดๆ?



ได้คำตอบซ้ำเดิมกลับมาทุกครั้ง ปานประหนึ่งเวลาราชินีร้ายถามกระจกวิเศษในเรื่องสโนไวท์
 “ก็จักรยานกับรถไฟน่ะสิ”
 แล้วจักรยานกับรถไฟเหมือนกันตรงไหน ถึงได้โปรดนัก?
 เหมือนกันตรงที่ทั้งจักรยาน และรถไฟ ให้อารมณ์ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ช้าๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบละมัง

รถไฟค่อยๆ ไหลเลื่อนผ่านสองข้างทาง  ขณะเดียวกัน ภาพสองข้างทางก็ไหลเลื่อนผ่านช่องหน้าต่างเข้าสู่การรับรู้ของจอตา เหมือนภาพที่ร้อยเรียงบนแผ่นฟิล์ม ภาพนั้นค่อยๆ หมุนเร็วขึ้น หมุนเร็วขึ้น ไม่กี่นาทีจากตัวเมือง ผ่านบ้านเรือน ก็เข้าสู่บริเวณภูเขา และ.. สุดท้ายลัดเลาะเลียบริมผา เห็นสายน้ำสีเขียวอ่อน  ไหลลัดเลาะหยอกล้อไปกับพื้นหินเบื้องล่าง ภาพที่เห็นสวยงามเสียอย่างนั้น ทำให้ผู้โดยสารเริ่มส่งเสียง
กิ๊วก๊าว  จากที่นั่งก็เริ่มลุกขึ้นยืน  ชะโงกหน้า  หามุมถ่ายรูปกันสนุกสนาน
โชคดีที่ที่นั่งฉันอยู่ฟากเดียวกับโตรกธาร  ได้เห็นความอ่อนพลิ้วของสายน้ำ ท่ามกลางทิวเขาที่เป็นฉากหลังอย่างชัดๆ 


ภาพ ที่เห็นทำให้หวนนึกถึงสายน้ำที่ไหลขนาบไปกับทางถนนจากเมืองกาฐมาณฑุไปยัง เมืองโพคารา แต่บรรยากาศในการชมนั้นต่างกัน  ขณะชมสายน้ำสีเขียวเข้มราวมรกตที่เนปาลนั้น เป็นการชมอย่างสงบเงียบ แต่ละคนเหม่อมอง และเข้าสู่ภวังค์จินตนาการของตนเอง  แต่ขณะที่ชมสายน้ำที่อาราชิยาม่า กลับเป็นการชมแบบหมู่คณะ มีเจ้าหน้าที่บนรถไฟพากย์ส่งเสียงประกอบ ลีลาน้ำเสียงเร้าใจเหมือนฟังพิธีกรรายการทีวีแชมป์เปี้ยนที่กำลังบรรยาย เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น สนุกสนานไปอีกแบบหนึ่ง

รถไฟจอดที่สถานีแต่ละแห่งเป็นระยะเวลาสั้นๆ  บางช่วงลอดผ่านอุโมงค์ ท่ามกลางความมืดของริมทาง ให้จินตนาการเล่นๆ ว่า สุดปลายอุโมงค์ด้านหน้า จะได้เจออะไร  แล้วจู่ๆ ณ สถานีหนึ่ง ก็ปรากฏ ทานุกิ (tanuki) ยืนเรียงแถวต้อนรับ

สงสัยละสิ ว่าทานุกิคืออะไร?
เจ้าทานุกิ ก็คือเจ้าสุนัขแรคคูนหน้ากลมๆ พุงกลมๆ ตากลมโต ดูไร้เดียงสา  แถมท่ายืนยังเอียงคอหน่อยๆ ใส่หมวกสาน ดูน่ารักน่าชัง แต่... ย้ำกันดีๆ สังเกตให้ชัดๆ  จะเห็นว่าซ่อนความร้ายเล็กๆ ไว้ เพราะมือข้างหนึ่งถือขวดเหล้าสาเก (เฉยเลย) ให้พอเดาได้ว่า เห็นตัวกลมๆ เหมือนไร้เดียงสา ต้องเป็นทานุกิขี้เมาแน่ๆ
เจ้าตัวทานุกิ หรือสุนัขแรคคูน ผลุบโผล่ปรากฏตัวในเรื่องเล่า ตำนานเก่าแก่ของญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ
ทานุกิเป็นเจ้าแห่งการแปลงร่าง ที่โปรดคือร่างนักบวช กับกาน้ำชา แปลงร่างแล้วก็ออกมาเย้าแหย่แกล้งคนเล่น  โดยเฉพาะพวกนายพราน กับคนตัดไม้ โดนกันบ่อย  นี่สงสัยตั้งใจให้มายืนเย้าแหย่ผู้โดยสารรถไฟสนุกๆ ให้เป็นสีสัน

และที่สถานีสุดท้าย สถานีคาเมะโอกะ โทรกโกะ (Kameoka Torokko) มีสัญญาณบ่งบอกการใกล้ถึงปลายทาง ตั้งแต่เริ่มเห็นทางถนน เสาไฟ และบ้านเรือนผู้คน  แล้วรถไฟก็ค่อยๆ เข้าจอดเทียบชานชาลา ขบวนทานุกิออกมายืนต้อนรับอีกแล้ว  เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ดูน่ารัก น่าชังดี



ออกจากสถานีรถไฟ รู้สึกงงๆ อยู่บ้าง ด้วยพื้นที่แถบนี้อยู่พ้นนอกเขตแผนที่ที่เรามีอยู่ แลเห็นแต่ทุ่งนาสีเขียว กับบ้านเรือนผู้คนที่ตั้งเป็นหย่อมๆ  แต่กลุ่มผู้โดยสารเหมือนรู้เส้นทางกันดี พากันเดินไหลไปตามทางจากสถานีรถไฟไปเชื่อมต่อกับทางถนนเล็กๆ ริมทุ่งนาที่ปลูกยาวเป็นแถวไปจรดฟ้าอีกด้าน

ยิ่งเป็นเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกพอดี  สีเขียวของนาข้าวสะท้อนแสงอุ่นๆ ดูจับตา ไม่เฉพาะคนไทยอย่างเราสองคนที่ดูตื่นเต้นที่ได้มาเห็นทุ่งนาในเมืองต่าง ถิ่น  คนญี่ปุ่นเองก็ดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน  สาวๆ  หลายคนยอมลงทุนเดินลุยเข้าไปในทุ่งนาเพื่อถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก

ขบวนการไหลของผู้คนไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน มีที่สวนทางกับพวกเราเหมือนกัน เป็นกลุ่มหนุ่มสาวที่สวมเสื้อชูชีพ ในมือถือพายขนาดใหญ่  ดูจากชุดที่สวมใส่ เป็นพวกที่จะล่องผจญภัยไปกับสายน้ำ สายน้ำสายเดียวกับที่เราเห็นขณะนั่งบนรถไฟนั่นแหละ

แล้วขบวนการไหลของผู้คนก็ไปสิ้นสุดที่ สถานีรถไฟอุมะโฮริ (Umahori) สาย เจอาร์ซากาโน่  (JR Sagano line) ที่แท้ที่เดินไหลตามกันไปก็เพื่อจะนั่งรถไฟกลับไปยังเกียวโตนี่เอง
แล้วจะทำอะไรล่ะ?
ก็ตีตั๋วรถไฟกลับเกียวโตเหมือนชาวบ้านเขาน่ะสิ


หมายเหตุ:  ทานุกิ (Tanuki) สุนัขแรคคูน เป็นสัตว์พื้นถิ่นที่มีอยู่จริงในประเทศญี่ปุ่น ลักษณะคล้ายหมาจิ้งจอกตัวอ้วนๆ ขาสั้น ขนสีเทาดำ มีขอบกลมๆ รอบดวงตาเหมือนตัวแรคคูน หรือหมีแพนด้า พบตัวได้ตามที่ลุ่ม ในป่า และหุบเขา แต่... ถ้าเป็นรูปปั้นเซรามิคละก็ พบเห็นได้ทั่วไปตามร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และสวนในบ้าน ว่ากันว่าสุนัขแรคคูนเซรามิคมีจำนวนเยอะกว่าสุนัขแรคคูนที่เป็นสัตว์จริงๆ ด้วยซ้ำ

อ้อ... ป.ล. สุนัขแรคคูน เป็นสัตว์กินได้สารพัดสารพัน กบ กิ้งก่า ลูกเบอร์รี่ แมลง หอยทาก คางคก ฯลฯ  กินได้ทั้งนั้น อาจเหมารวมได้ว่า เหล้าสาเกก็คงดื่มได้ซะละมัง (ข้อนี้ฉันว่าเอง)

ไม่มีความคิดเห็น: