10 สิงหาคม 2554

ครั้งหนึ่งที่ บุโรพุทโธ

หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ตีพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์

ตามพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าได้ตรัสขณะจำพรรษาสุดท้ายที่เวฬุวนาราม ขณะใกล้ปรินิพพานว่า “โลกนี้งดงาม น่าอยู่เสียนี่กระไร”

บุโรพุทโธ พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดของโลกตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง บนเนินเขาเตี้ย ๆ แวดล้อมด้วยทิวเขา และภูเขาไฟคู่แฝดที่ขนาบสองด้าน ภูเขาไฟ “เมราปิ” (Mount Merapi)และ “เมอร์บาบุ” (Mount Merbabu) ด้านตะวันออก และภูเขาไฟ “ซัมบิง” (Mount Sumbing) และ “ซุนโดโร” (Mount Sundoro) ด้านตะวันตก พื้นที่รอบๆ บริเวณบุโรพุทโธได้รับการดูแลอย่างดี ขณะเดินเลาะเลียบเจอะเจอต้นกรรณิการ์ขนาดใหญ่สมบูรณ์ที่ปลูกเรียงราย ดอกกรรณิการ์กลีบขาวก้านส้ม ร่วงหล่นลงโคนต้น ช่วยแต่งเติมรายละเอียดชวนมองบนผืนดินรอบ ๆ หากที่ขัดใจอยู่บ้างคืออากาศที่ร้อนอ้าว ทั้งที่รายล้อมรอบตัวเป็นต้นไม้เขียวชะอุ่ม และทิวเขาแท้ ๆ


ภาพวาดแผนที่ แสดงที่ตั้งของบุโรพุทโธ ที่ขนาบด้วยภูเขาไฟฝาแฝดทั้งสองด้าน

ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านพักในโรงแรมที่อยู่ในเขตอุทธยาน ทำให้ได้เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ บุโรพุทโธตั้งแต่หัวค่ำ บุโรพุทโธ ณ เวลานั้น อยู่ในความสงบ งดงามกลมกลืนกับแวดล้อมธรรมชาติ หลายคนที่ได้มาเยือนบุโรพุทโธก่อนหน้าฉัน บ่นขร่มให้ฟังถึงสภาพโบราณสถานแห่งนี้ที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน ที่มาเยือนในลักษณะรุกรานสถานที่อย่างปราศจากความเกรงใจ ทั้งปืนป่ายไปบนรูปปั้น ส่งเสียงโวกเวก.... นั่นทำให้ฉันพยายามนักหนาที่จะต้องจองโรงแรมภายในเขตอุทยานแห่งนี้ให้ได้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเยือนบุโรพุทโธในช่วงเวลาที่ผู้คนไม่หนาแน่น

และคืนนั้น ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านได้เข้าไปฟัง Audio Visual ในห้องฉายภาพยนตร์ขนาดเล็ก ที่ทางโรงแรมจัดไว้เป็นบริการฟรีสำหรับแขกที่มาเข้าพัก บริการนี้เป็นบริการ on demand ใคร่อยากไปฟังเมื่อใด ทางโรงแรมก็จะจัดให้เมื่อนั้น เราสองคนจึงนั่งผึ่งชมประวัติ ความเป็นมาของพุทธสถานภายในห้องโอ่อ่า เพียงลำพังแค่สองคน ราวกับเป็นแขก VIP ยังไงยังงั้น

การจัดทำสารคดี ทำได้อย่างน่านิยม บรรยายถึงเส้นทางการเดินทางของพุทธศาสนานิกายมหายานที่เผยแพร่มายังเกาะสุมาตราและชวา ผ่านเส้นทางการเดินเรือ ระหว่าง อินเดีย อินโดนีเซีย และจีน

ศาสนาพุทธได้รุ่งเรือง หยั่งรากคำสอน และศรัทธา บนผืนแผ่นดินเกาะสุมาตรา และชวาก่อนใครอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสิ่งที่ยืนยันก็คือบุโรพุทโธ พุทธสถานที่มีขนาดใหญที่สุดของโลกนี่เอง

บุโรพุทโธมีรูปทรงคล้ายพีระมิด ประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมหกชั้น ฐานวงกลมสามชั้น และมีเจดีย์หรือสถูปแบบศรีวิชัยตั้งอยู่ด้านบนสุด

ลักษณะของแผนผังการก่อสร้างสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา แสดงถึงหนทางแห่งการรู้แจ้ง ที่เริ่มจากชั้นฐานอันได้แก่ “กามธาตุ” ระดับชีวิตชั้นล่างสุดของมนุษย์ ที่ยังคงหมกหมุ่น เวียนว่ายอยู่ในกิเลส เต็มไปด้วยความอยากได้ อยากมี จากนั้นจึงสู่ชั้นกลาง ได้แก่ “รูปธาตุ” อันเป็นชั้นที่มนุษย์แม้จะยังติดอยู่ในกาย และรูป แต่มีสติที่จะควบคุมความรู้สึกฝ่ายต่ำ และพากเพียนที่จะเรียนรู้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

และชั้นสุดท้ายที่อยู่ด้านบนสุดคือ “อรูปธาตุ” นั่นคือการสู่นิพพาน เป็นการละสิ้นถึงการยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง

หนังสารคดี ชวนเชิญให้ฉันพิศวงไปกับภาพสลักบนแผ่นหิน ตรงระเบียงของแต่ละชั้น ภาพสลักแท้จริงนั้น ผุกร่อน ขาดความคมชัด ไปตามกาลเวลา แต่หนังสารคดีเขาช่างทำ ได้จำลองภาพวาดที่สมบูรณ์และให้สีสันสดเป็นพิเศษแสดงเทียบเคียงให้เห็นว่า หากภาพสลักบนผนังหินอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จะเป็นอย่างไร

ภาพสลักจากสถานที่จริง วางเทียบเคียงภาพวาดจำลอง

เริ่มจากนิทานชาดกอันเป็นเรื่องในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า เรื่อง “เต่าตายเพราะปาก” “ลิงกับนกขมิ้น” “เสือกับวัว”...

หลายเรื่องเข้าสมาธิชักเริ่มล่องลอย ก่อนถูกกระตุกให้กลับมาอีกครั้ง เมื่อได้เห็นภาพสลักเปลี่ยนจากนิทานชาดกต่าง ๆ เป็นเรื่องราวพุทธประวัติ


ภาพเหล่านั้นคุ้นชินตาเป็นอย่างยิ่ง เป็นภาพวาดที่เล่าเรื่องตามตำนาน ที่ฉันเรียนแต่เยาว์วัย.... อะไรก็แล้วแต่ที่เคยเรียนรู้ตั้งแต่วัยเด็กมักมีอิทธิพลดึงดูดเสมอ

ภาพพระนางสิริมหามายาที่ยืนเหนี่ยวพระหัตถ์กับกิ่งต้นสาละให้ประสูติพระพุทธเจ้า ที่ทันทีที่ประสูติได้ย่างพระบาท 7 ก้าว และมีดอกบัวผุด 7 ดอกมารองรับ

ภาพเจ้าชายสิทธัตธะที่ทรงปลงพระเกศาเพื่อออกผนวช โดยใช้พระขรรค์ตัดพระโมฬี.....

ภาพเหล่านี้ ช่วยเปิดโลกทัศน์ฉันที่แม้จะพอรู้อยู่บ้าง ให้ตระหนักชัดเจนขึ้น พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธ คำสอนแห่งพุทธองค์แพร่หลายไปแทบจะทั่วทั้งทวีปเอเชีย มิได้จำกัดเฉพาะสำหรับคนไทย ประเทศไทย ประวัติของพระพุทธองค์ แก่นคำสอน นิทานง่าย ๆ เพื่อสอนใจ จึงแพร่หลาย เป็นต้นธารแห่งวัฒนธรรม ความเชื่อ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เปี่ยมศรัทธา นำไปสร้างเป็นงานศิลปะรูปแบบต่าง ๆ มากมาย

.......



ภาพลิงกับนกขมิ้น

รุ่งเช้า แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านผ้าม่าน ปลุกให้ฉันตื่นขึ้น แสงที่ส่องลอดเข้ามาจ้าจัด ราวไม่ใช่แสงนุ่มนวลของยามรุ่งสาง ฉันตลบผ้าม่านไปข้าง ๆ มองออกไปข้างนอก โลกข้างนอกสว่างจ้าไปหมดแล้ว... นี่ฉันตื่นสายหรือนี่? ยกนาฬิกาข้อมูลขึ้นมาดูเวลา... เพิ่งจะตีห้ากว่า... เกาะชวาสว่างเร็วเหลือเกิน

เราสองคนรีบลุกขึ้นเตรียมตัว เพื่อจะได้ไปเยือนบุโรพุทโธแต่เช้า ก่อนที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากจะหลั่งไหลเข้ามา เราสองคนเดินทะลุจากที่พักไปยังประตูทางเข้า บรรยากาศรอบ ๆ โบราณสถานในยามเช้าสงบเงียบ ประตูเทางข้าสู่บุโรพุทโธยังคงปิดสนิท ยังไม่ถึงเวลาเปิดให้เข้าชม ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น แต่มีนักท่องเที่ยวบางส่วน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปชมด้านบนแล้ว นั่นเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์พิเศษ และแน่นอน ราคาย่อมต้องแพงเป็นพิเศษเช่นกัน ทัวร์ที่ว่านี้เรียกว่า Sunrise Tour เป็นทัวร์ที่พานักท่องเที่ยวเยือนบุโรพุทโธตั้งแต่ตีสี่เลยทีเดียว

เจ้าหน้าที่ตรงบริเวณทางเข้ายังไม่อนุญาตให้เราเข้าไปด้านใน เขา ชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของเราสองคนเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ไม่เป็นไร แค่เดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ชมบรรยากาศรอบ ๆ ของบุโรพุทโธในยามเช้าก็ชอบใจแล้ว เจ้าหน้าที่เหลือบมองเราเป็นระยะ ที่สุด ก็ปล่อยให้เราเข้าไปด้านในก่อนเวลาเล็กน้อย กลายเป็นนักท่องเที่ยวเพียงสองคนในยามรุ่งเช้า นอกจากนักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์ Sunrise ที่ขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว


บรรยากาศที่พักในยามเช้า มีทางเดินเชื่อมถึงบุโรพุทโธ


ภาพ มหาสถูปบุโรพุทโธ

เจตนาของการก่อสร้างบุโรพุทโธนั้น เพื่อเป็นสถานที่จาริกบุญสำหรับพุทธศาสนิกชน เพื่อเพ่งพินิจศึกษาความหมายของรูปสลัก นัยยะที่แฝงในรูป ผังของการก่อสร้าง การเดินขึ้นชมบุโรพุทโธ จึงควรเดินเวียนขวาไปตามระเบียงทางเดิน ทีละชั้น ทีละชั้น จากชั้นกามธาตุ ชั้นอรูปธาตุ และขึ้นไปถึงสถูปหรือตัวเจดีย์ชั้นบนสุด....อรูปธาตุ....นิพพาน

แต่....

ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านใช้วิธีกลับกัน เรามุ่งตรงขึ้นไปบนสถูปด้านบนสุดก่อน... ตามวิสัยลึก ๆ ของมนุษย์ที่ชมชอบการอยู่บนที่สูง และมองย้อนลงมายังโลกเบื้องล่าง

จากระเบียงทางเดินที่เป็นฐานสี่เหลี่ยม สู่ลานกลมสามชั้น ที่เปิดโล่ง ไม่มีรูปภาพสลักใด ๆ บนระเบียง มีเพียงเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านในหันพระพักตร์สู่ท้องฟ้าด้านนอก เจดีย์เหล่านี้โอบล้อมพระเจดีย์องค์ใหญ่ ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง และอยู่ด้านบนสุดของบุโรพุทโธ

เมื่อไปถึงชั้นบนสุด มองไปรอบ ๆ .... โลกใบนี้ งดงามน่าอยู่เสี่ยนี่กระไร... ใครเป็นผู้เลือกทำเลที่ตั้งพุทธสถานแห่งนี้หนอ... ช่างเหมาะเจาะเป็นที่สุด โอบล้อมด้วยทิวเขาสีน้ำเงิน และหมู่แมกไม้สีเขียว.... ธรรมชาติได้โอบอุ้มพุทธสถานแห่งนี้ ให้กลายเป็นเขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง ตัวมหาสถูปบุโรพุทโธเองนั้น นับเป็นพุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีอายุเก่าแก่กว่านครวัดนครธมอันยิ่งใหญ่ และยังพิเศษด้วยการสร้างจากหินลาวาภูเขาไฟเกือบ 2 ล้านก้อน แต่ความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของตัวบุโรพุทโธเพียงลำพัง ไม่สามารถสะกดฉันนิ่งงันได้เลย หากพุทธสถานแห่งนี้ ไม่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่โอบอุ้มอยู่รอบ ๆ

นับเป็นโชดดีของฉันกับเพื่อนร่วมบ้านเหลือเกิน ที่นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเยือนก่อนหน้าเราสองคนนั้น เยี่ยมชมบุโรพุทโธอย่างสงบ และให้ความเคารพกับสถานที่... โดยเฉพาะหลายรายนั้น มาเยือนเยี่ยงผู้จาริก พวกเขาได้เดินเวียนขวาขึ้นสู่มหาเจเดีย์ พิศพิจารณารูปภาพที่สลักบนแผ่นหินตรงระเบียง และเดินนิ่งอย่างมีสมาธิเมื่อถึงฐานชั้นกลม ที่มีเพียงเจเดีย์ทรงระฆังคว่ำที่โอบล้อม ปราศจากรูปภาพใด ๆ

เมื่ออิ่มเอม กับความงามอันสอดคล้องของสถานที่ กับที่ตั้งแล้ว เราสองคนค่อย ๆ เดินย้อนกลับลงไปชั้นล่างอย่างช้า ๆ




เมื่อถึงชั้นฐานสี่เหลี่ยม เดินไล่เรียงดูภาพสลักบนแผ่นหินตรงระเบียงทางเดิน ฉันได้เจอภาพหลายภาพ ที่ได้เห็นตัวอย่างในหนังสารคดีที่ฉายในโรงแรมตั้งแต่เมื่อคืน แต่หลายภาพเช่นกันที่หาไม่เจอ ภาพที่สลักบนระเบียงทางเดินทั้งสี่ชั้นมีจำนวนมากมายถึงขั้นต้องเรียกว่าแกลลอรี่เลยทีเดียว

มีทั้งภาพพุทธประวัติ ภาพเรื่องชาดก การอวตาร ต่าง ๆ ภาพเล่าเรื่องความพากเพียร ของชายหนุ่มชื่อสุธนะในการแสวงหาสัจธรรม

ระหว่างที่เดินดูภาพบนผนังระเบียงนั้น แอบฟังไกด์ที่อธิบายถึงความหมายในรูปภาพต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวที่เริ่มจะทยอยขึ้นมาเยือนได้ฟัง.... บุโรพุทโธเดี๋ยวนี้ รัฐบาลดูแลอย่างดี... น้ำเสียงของไกด์ดูภาคภูมิใจ ฉันค่อนข้างเห็นด้วยทีเดียว สำหรับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม พวกเขาเอาใจใส่ดูแลพุทธสถานแห่งนี้ได้ดีทีเดียว ... เหลือเพียงปัจจัยเดียวที่กร่อนทำลายบุโรพุทโธ... เสียงไกด์กล่าว ฉันหูผึ่งขึ้นมาทันที “ธรรมชาติ” เสียงเขาเน้นหนัก “ฝนที่นี่ตกหนัก ทำให้ภาพบนแผ่นหินขาดคมชัดไปเรื่อย ๆ” ถอนหายใจ... สุดท้ายก็ธรรมชาติ และกาลเวลานี่เอง

ภาพสลักบนแผ่นผนังระเบียง เมื่อมีจำนวนมาก... เดินชมมาก ๆ เข้า มีเบื่อเหมือนกัน ภาพพุทธประวัติ นิทานชาดกเอง ก็เฉยเสียแล้ว เพราะตื่นเต้นตั้งแต่ดูหนังสารคดีเมื่อคืน มารู้สึกถูกกระตุกความสนใจอีกครั้ง ก็ตรงบนภาพสลักเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ มี รูปนางฟ้า นางสวรรค์ เหาะอยู่ด้านบนเพื่อโปรยปรายดอกไม้.... นี่มันภาพวาด ส.ค.ส. อวยพรวันปีใหม่ ในสมัยฉันยังเด็ก ๆ นี่นา รูปนางฟ้านั้นเหมือนในส.ค.ส. วัยเด็กของฉันตั้งแต่เครื่องแต่งกาย ทรงผม และท่าเหาะ... ซึ่งซุกซ่อนอยู่มุมด้านบนของภาพสลัก นั่นทำให้ฉันตระหนักถึงการถ่ายเทของวัฒนธรรมความเชื่ออีกครั้ง

ที่สุด เราก็ย้อนมาถึงฐานด้านล่างของบุโรพุทโธ สวนทางกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่เริ่มทยอยเข้ามาชมพุทธสถานแห่งนี้.....



ภาพนางฟ้าโปรยปรายดอกไม้... เหมือนในภาพส.ค.ส.ในวัยเยาว์





Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com

2 สิงหาคม 2554

ลัดเลาะสวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์

หมายเหตุ... งานเขียนชิ้นนี้ตีพิมพ์ที่กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์

สิงคโปร์ ไม่เคยเป็นที่หมายอย่างจริงจังในการเดินทางสักครั้ง
ครั้งแรกของสิงคโปร์เป็นการ Stop Over ประมาณเป็นที่เที่ยวเล่นของแถมก่อนกลับบ้าน ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ไม่ได้ตั้งใจอีกตามเคย แค่ถือโอกาสตามคนร่วมบ้านที่มีโอกาสมาดูงาน พาเจ้าตัวเล็กมาเปิดหูเปิดตา

ฟังดูเหมือนฉันออกจะเมินๆ ประเทศนี้... แต่ให้ตายเถอะ แม้ไม่ตั้งใจ แต่ใจยวบทุกทีเวลาได้มาเยือน...ที่ยวบน่ะ เพราะฉันเป็นโรคภูมิแพ้ ประมาณว่าแพ้สีเขียว แพ้ต้นไม้ใหญ่ แล้วสิงคโปร์น่ะ เห็นเป็นเกาะเล็กกระจิด เล็กเสียยิ่งกว่ากรุงเทพฯ แต่ทั่วทั้งเกาะกลับเต็มแน่นไปด้วย ต้นไม้ แล้วเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์พูนสุขเสียด้วย ทั้งที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แท้ๆ ใจที่ยวบพลอยเปลี่ยนเป็นใจหายเมื่อนึกถึงต้นไม้ใหญ่ที่บ้านเราที่มักถูกตัด ให้พิกลพิการกระทั่งแคระแกร็นได้สมใจ (ใครก็ไม่รู้)

ระหว่างทางจากสนามบินไปยังที่พักบนถนนออร์ชาร์ด (orchard) พลพรรคต้นไม้น้อยใหญ่ชักชวนกันมาชักแถวต้อนรับผู้มาเยือน กระทั่งขึ้นไปยังห้องพักของโรงแรมหรูใจกลางเมือง ยืนมองบรรยากาศเมืองผ่านแผ่นกระจกหนาลงมาข้างล่างด้วยสายตานก สีเขียวเข้มยังคงห้อมล้อมกลมกลืนไปกับอาคารสูงนำสมัย สมกับที่ 'ลีกวนยู' ได้วางกลยุทธ์ไว้ตั้งแต่ปีค.ศ.1963 ที่จะพัฒนานำสิงคโปร์ไปสู่การเป็นเมืองแห่งสวน ด้วยคิดว่าสีเขียวจะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุน ในสิงคโปร์

การเดินทางครั้งนี้ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่มีความตั้งใจที่จะเที่ยวชมสถานที่ไหนเป็นพิเศษ ตอนกางแผนที่เมืองสิงคโปร์ออกดูกับเพื่อนร่วมบ้าน ชั่งใจกันอยู่พักใหญ่ว่าจะพาตัวเล็กไปที่ไหนดี เคลื่อนสายตามองดูสถานที่เที่ยวตามจุดต่าง ๆ ของเมือง แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับจุดสีเขียวที่กินพื้นที่กว้างใจกลางแผ่นกระดาษ

Singapore Botanic Gardens

ฉุกใจขึ้นมา... ประเทศที่ต้นไม้ข้างทาง ริมถนน ริมอาคารยังสวยจับความรู้สึกคนมาเยือนได้ขนาดนี้ แล้วสวนจริงๆ ที่อยู่จริงๆ ของต้นไม้ของเขาจะสวยจับใจได้ขนาดไหน...

ฉันตัดสินใจในตอนนั้นเอง ฉันจะพาตัวเล็กไปเที่ยวสวน
เรื่องหว่านล้อมเพื่อนร่วมบ้านให้ไปไหนไปด้วยกันน่ะไม่อยาก แต่เจ้าตัวเล็กนี่สิ...
“ไปเที่ยวสวนกันนะ” ฉันบอกเจ้าลูกชาย ท่าทางเจ้าตัวน้อยอึ้งๆ ไป ก็เด็กที่ไหนจะอยากเดินเที่ยวดูต้นไม้บ้าง ไม่เหมือนเดินดูสิงสาราสัตว์ตามสวนสัตว์นี่นา นั่นน่ะสำหรับเด็กๆ ตื่นเต้นกว่าเยอะ
"ไปนะ..ไปน่า ... ในสวนมีสัตว์เยอะเลย" ฉันปล่อยหมัดเด็ดสุดท้าย เจ้าตัวเล็กชอบเรื่องสัตว์เป็นทุนอยู่แล้ว เจอมุขนี้เขาไปเสร็จทันที

Singapore Botanic Gardens (สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์) ทางเข้าแจ่มทีเดียว ร่มรื่น กว้างขวาง ทางเดินสะดวกสบาย อาคารที่สร้างตรงทางเข้าดูดีมีรสนิยม คล้ายศาลาขนาดใหญ่ ดูกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศของสวนเขตร้อน และที่ชอบที่สุดคงเป็นซุ้มข้อมูลที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่คอยตอบข้อซักถาม พร้อมแผ่นพับ แผนที่ข้อมูลพร้อมพลัน

 ทางเข้าสวน

จากข้อมูลในแผนที่ สวนแห่งนี้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสามส่วน Central Core, Tanglin Core และ Bukit Timah Core ที่สะดุดน่าสนใจก็ตรง สวนแห่งนี้เปิดตั้งแต่ตีห้าถึงเที่ยงคืน เท่ากับเปิดทำการ 18 ชั่วโมงต่อวัน และไม่มีการเก็บเงินค่าผ่านประตูหรือค่าเข้าชมแต่อย่างไร เว้นแต่ใครจะเข้าชม National Orchid Garden ที่อยู่ข้างใน ซึ่งจะคิดค่าเข้าชมพิเศษแยกต่างหาก




เมื่อย่างก้าวเข้าไปในเขตสวน สัมผัสถึงความสงบและร่มเย็น ต้นไม้ใหญ่แต่ละต้นดูโอ่อ่า ทรงภูมิ บ่งให้รู้ว่า นี่ไม่ใช่สวนเกิดใหม่อย่างแน่นอน และเมื่อลองไล่เรียงความเป็นมา สวนแห่งนี้ก่อตั้งตั้งแต่ปีค.ศ.1859 นับเวลาก็ 148 ปี (เท่านั้นเอง)

เจ้าตัวเล็กดูจะตื่นเต้นกับ Palm Valley ซึ่งกินพื้นที่ช่วงหนึ่งของสวนในบริเวณ Central Core คงเป็นเพราะพื้นที่เป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ ชวนวิ่งเล่น แล้วต้นปาล์มนานาชนิดก็ดูแปลกตาโดยเฉพาะส่วนใบที่ไม่เหมือนต้นไม้ทั่วไป เจ้าตัวเล็กที่ปกติชอบดูต้นไม้ในสวนที่บ้านอยู่แล้วเลยออกจะโปรดๆ สักหน่อย ยิ่งเจ้าตัวช่างสังเกตพอตัว ถึงขนาดเคยออกปากถามฉันกับเพื่อนร่วมบ้านมาแล้ว
“ต้นไม้นี่มีคนออกแบบใบให้ใช่มั้ย…ใบถึงไม่เหมือนกันเลย”
อืมม์...ทำเอาฉันทึ่งไปเลย เพราะจำได้ว่า ตอนเล็กๆ ไม่เห็นเคยสงสัยหรือสังเกตเห็นอะไรแบบนี้ เวลาวาดรูปใบไม้ทีไร ก็วาดทรงยาวๆ รีๆ แบบเดียวตลอด แถมระบายสีก็สีเขียวสีเดียวนี่แหละ ทั้งที่รูปทรงของใบไม้มีตั้งหลายแบบ สีก็มีตั้งหลายสี

 พื้นที่ในสวนเป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ เดินเล่นสนุกสำหรับเด็กๆ

ครั้นพ้นเขต Palm Valley เจอเข้ากับ Symphony Lake ตอนแรกเห็นชื่อในแผนที่ออกจะงงๆ สักหน่อย พอเจอของจริงเข้าถึงค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่า Symphony Lake นั่นเป็นเพราะริมทะเลสาบด้านหนึ่งมีเวทีสำหรับแสดงดนตรีอยู่กลางน้ำ เห็นบรรยากาศแล้วช่วงสุดสัปดาห์ที่มีฟรีคอนเสิร์ตบรรยากาศคงดีพิลึก นี่ทำเอาฉันสัญญากับตัวเองเลยนะว่า ถ้ามีโอกาสมาสิงคโปร์คราวหน้า ต้องหาโอกาสมานั่งฟังดนตรีกลางสวนที่นี่ให้ได้


เดินเที่ยวสักพัก จากนกที่แล่นถลาไปมา เจ้าตัวเล็กเริ่มเบื่อ นั่งพักบ่อยขึ้น และเริ่มฉุกใจขึ้นมาได้ เอ๊ะ!
ไหนแม่ว่ามีสัตว์เยอะแยะไง?

 เริ่มเบื่อแล้วครับ...
สังเกตตราสัญลักษณ์ของสวนบนพนักเก้าอี้.. ดูสวย ให้ความรู้สึกใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ดี

มีสิ… ฉันเฉไฉ ให้เจ้าตัวเล็ก ดูนก ดูมด ดูแมลงข้างทางแทน... พอกล้อมแกล้มไปได้
“สัตว์ไม่เห็นจะเยอะเลย” บ่น
“น่า... แต่ต้นไม้สวยไม่ใช่เหรอ”
“หือ” เจ้าตัวเล็กยอมรับ
ดีนะ...พอเริ่มจะเบื่อ ก็เจอเข้ากับอุโมงค์น้ำตกจำลองพอดี เจ้าตัวเล็กเลยกระตือรือร้นอีกครั้ง แล้วพอเลยน้ำตกจำลองเดินขึ้นเนินไปได้หน่อย ก็เจอเข้ากับคุณปู่ต้นไม้ ดูเก่าแก่ ใจดี มีลูกหลานเป็นไม้เกาะเล็กๆ ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าต้นอะไร แต่เห็นปุ๊บชวนนึกถึงผู้สูงอายุใจดีที่มีลูกหลานห้อมล้อม ฉันเลยเรียกของฉันว่า 'คุณปู่ต้นไม้'



 

ฉันอวดรูปคุณปู่ต้นไม้ต้นนี้ให้ใครดู ไม่มีใครคิดว่าเป็นสถานที่ในประเทศสิงคโปร์สักคน ด้านหลังคุณปู่ต้นไม้ เห็นต้นอะไรแปลกๆ ขึ้นเป็นสายเป็นแถวๆ แถมออกดอกสีสวยด้วย รีบตรงเข้าไปดูด้วยความใคร่รู้ พอไปถึงค่อยรู้ว่าเป็นต้นกล้วยไม้ที่ขึ้นกอดเกี่ยวกับเสาปูนที่ทาสีเขียวไว้ ทำให้มองไกลๆ คิดว่าเป็นลำต้น และเป็นความรู้ใหม่เอี่ยมสำหรับตัวฉันเองที่เพิ่งรู้ว่าดอกไม้ประจำชาติของ สิงคโปร์เป็นดอกกล้วยไม้ และเป็นดอกของเจ้าต้นที่ขึ้นเกาะแท่งปูนเป็นแถวอยู่ตรงหน้านี่แหละ Vanda Miss Joaquim

  Vanda Miss Joaquim ดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์

Vanda Miss Joaquim เป็นกล้วยไม้พันธุ์ผสมตามธรรมชาติระหว่าง Vanda hookeriana และ Vanda teres Vand Miss Joaquim เป็นดอกไม้ประจำชาติของสิงคโปร์ก็จริง แต่ชื่อไม่มีเค้าเอเชียเอาเสียเลย เพราะตั้งชื่อตามสุภาพสตรีชาวอาร์เมเนียนที่เป็นผู้ค้นพบกล้วยไม้ชนิดนี้ เป็นคนแรกในสวนของเธอ
นอกจากต้นไม้สวยๆ บรรยากาศดีๆ ร่มรื่นที่ชวนชื่นอกชื่นใจ ในสวนยังตกแต่งด้วย รูปปั้น ตามจุดต่างๆ ได้อย่างน่าดูชม ดูมีชีวิตชีวา

'สาวน้อยขี่จักรยาน' เป็นสาวแรกที่ได้เจอ ใบหน้าสาวน้อยแย้มยิ้มสดใส ท่วงท่าที่ขี่จักรยานดูเบิกบาน สนุกสนาน ก่อนจะเจอะเจอสาวน้อยอีกคนนั่งเปลือยเท้าแกว่งชิงช้าตรงพงหญ้าดูอ่อนหวาน คล้ายกับกำลังดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบตัว แต่ที่เซ็กซี่ที่สุด คือหญิงสาวเปลือยกายนอนคว่ำบนเปลที่ผูกระหว่างต้นไม้ใหญ่สองต้น ใบหน้าที่หลับตาพริ้มคล้ายยิ้มน้อยๆ ราวกับต้องการจะบอกว่า ไม่มีที่ไหนอยู่แล้วสบายใจเท่าในสวนที่เต็มไปด้วยไม้ใหญ่

 สาวน้อยขี่จักรยาน


 สาวน้อยแกว่งชิงช้า


 สาวสวยนอนเปล

รูปปั้นทั้งสามชิ้นมีความคล้ายคลึงกันมาก จึงไม่แปลกใจที่อ่านข้อมูลจากแผ่นพับในมือแล้วรู้ว่าเป็นผลงานของช่างปั้นคน เดียวกัน Sydney Harpley ศิลปินชาวอังกฤษ

ถัดจากกลุ่มสาวๆ คราวนี้เป็นคุณแม่ที่อุ้มลูกเล่นอยู่กลางสวน 'Swing Me Mama' ผลงานของคุณแม่ Dominic Benhura ที่ได้รับแรงบันดาลใจขณะอุ้มลูกเล่น ไม่มีรายละเอียดมากมาย เป็นแค่โครงคร่าวง่ายๆ แต่ได้อารมณ์

 ประติมากรรม Swing Me Mama

บ่ายคล้อยแล้ว...ฉัน เพื่อนร่วมบ้าน และเจ้าตัวเล็ก เดินกลับออกจากสวน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนอารมณ์ของรูปปั้นที่แสดงออกผ่านใบหน้าและท่วงท่า...
เบิกบานและมีความสุข