23 มีนาคม 2555

เที่ยวเม็กซิโก ตอนที่ 9

เม็กซิโก ซิตี้

เวลานึกถึงเมืองเม็กซิโก ซิตี้ คุณนึกถึงอะไร?

ข้อมูลเบื้องต้นเมืองเม็กซิโก ซิตี้ที่ฉันได้รับมา คือมหานครที่มีคนอาศัยวุ่นวายหนาแน่นประมาณ 20 ล้านคน เยอะกว่ากรุงเทพมหานครหลายเท่าตัว

ภาพแรกที่ฉันคาดว่าจะได้เห็น เมื่อเริ่มเข้าสู่เขตเมืองเม็กซิโกซิตี้ จึงเป็นภาพขบวนรถที่ติดวินาศสันตะโร และกลุ่มหมอกควันสีดำลอยทมึนเต็มท้องฟ้า แต่จู่ ๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัวรถบัสที่นำพาฉันกับยูลีจากวานนาฮัวโต้มายังเม็กซิโกซิตี้ก็เข้าไปจอดนิ่งในสถานีรถขนส่งขนาดใหญ่ โดยไม่ได้เห็นภาพที่แอบวาดไว้ล่วงหน้า…. แค่รู้สึกว่ารถราเริ่มหนาแน่นขึ้นเท่านั้น

ข้อมูลที่ประดังเข้ามาหลังจากลงจากรถที่สถานีขนส่งนั่นคือ… สถานีขนส่งของที่นี่ดีมาก ใหญ่โตกว่าสถานีขนส่งที่หมอชิต สะอาดสะอ้าน และเรียบร้อย และดูเหมือนมลพิษที่นี่จะไม่หนาแน่นเท่ากรุงเทพ… ที่นี่มีรถไฟใต้ดินสิบสาย… และที่นี่เป็นเมืองโฟลค์เต่าสีเขียว เพราะรถเท็กซี่ของที่นี่เป็นรถโฟลค์เต่า สีเขียว และมีปริมาณมากพอที่จะทำให้พื้นที่ของเมืองบางจุดเป็นสีเขียวพรืดได้

สถานีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงข้ามสถานีขนส่ง แค่เดินข้ามถนนก็ถึงแล้ว….ดีจัง ดูท่าว่าการหาที่นอนในคืนแรกของที่นี่จะไม่ลำบากลำบนแบบที่วานนาฮัวโต้

ฉันกับยูลีสับสนกับปริมาณขบวนรถไฟใต้ดินที่มีถึง 11 สาย ต้องขอแผนที่จากเจ้าหน้าที่ และตั้งหลักกันครู่ใหญ่เลยทีเดียว โชคดีที่เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ คงเป็นเพราะอยู่ในเมืองหลวง


ภาพแสดงเส้นทางเดินรถไฟใต้ดินในเมืองเม็กซิโก ซิตี้

ที่พักที่เราเลือกไว้ชื่อว่า “แกรนด์ เท็กซัส” เป็นที่พักที่หนุ่มน้อยชาวเม็กซิกัน กับสาวน้อยญี่ปุ่นรายหนึ่งแนะนำมา เราเจอหนุ่มสาวคู่นี้ที่สถานีรถที่วานนาฮัวโต้ขณะรอรถไปเม็กซิโกซิตี้ ยูลีประสาสาวน้อยตัวกลมอารมณ์ดี เข้าไปผูกมิตรด้วย เลยรู้ว่าเจ้าหนุ่มเป็นลูกครึ่งเม็กซิกันญี่ปุ่น ส่วนสาวน้อยสั่งตรงมาจากแดนปลาดิบ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ทั้งคู่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ หลังจากพูดคุยกันถูกคอ เราก็หยิบรายชื่อโรงแรมในเม็กซิโก ซิตี้ ที่จดมาให้สองหนุ่มสาวช่วยดู เผื่อจะมีคำแนะนำอะไรบ้าง ทั้งคู่แนะนำโรงแรมดังกล่าว ทันทีที่มาถึงเราจึงรีบโทรไปที่โรงแรมเพื่อจองที่พัก และโชคดีที่ที่พักไม่เต็ม แถมยังสามารถเดินทางไปถึงได้ง่าย ๆ ด้วยรถไฟใต้ดิน

ประเดิมใช้งานรถไฟใต้ดินครั้งแรกไม่คล่องตัวเอาเสียเลย แต่โชคดีมีคุณผู้หญิงใจดีสองคนให้ความช่วยเหลือ ใจดีถึงขนาดเดินนำเราสองคนไปที่ชานชาลารถ ทั้งที่ฉันกับยูลีขึ้นรถไฟคนละสายกับพวกเธอ

โรงแรมที่เราพักราคาย่อมเยา สะอาดสะอ้าน ที่ดีมาก ๆ คือเจ้าหน้าที่โรงแรมใจดี (อีกแล้ว) เป็นกันเองพิเศษคือมีเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนหนึ่ง หุ่นท้วม ตัวเตี้ย หน้าตากลมเบ่งบานใจดี และอารมณ์ขันดูเหลือเฟือตลอดเวลา เจอะเจอหน้ากันเป็นไม่ได้ ต้องแวะทักทายพูดคุยแหย่สองสาวจากเอเชียตลอด ตอนแรกที่แกรู้ว่าเราพูดภาษาสเปนไม่ได้ ก็ส่ายหัวแบบอิดหนาละอาใจ ทำนองแม่สองสาวคู่นี้ไม่รู้จักใฝ่รู้เอาเสียเลย ฉันกับยูลีมารู้เอาภายหลังว่าชายผู้นี้เป็นเจ้าของโรงแรม จากบุคลิกและอัธยาศัยของเขา ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโรงแรมของเขาถึงได้รับการแนะนำบอกต่อในหมู่นักท่องเที่ยว

ขณะเดินเข้าซอยเพื่อเข้าโรงแรม เห็นร้านอาหารสามสี่แห่งระหว่างทาง อดยิ้มกันแก้มตุ่ยไม่ได้ อย่างน้อยกองทัพก็เดินด้วยท้อง ไม่อดตายแล้วเรา พอโยนข้าวโยนของเข้าห้องพักเสร็จก็ออกมาโซ้ยกันทันที อาหารที่นี่ถูกกว่าที่วานนาฮัวโต้นิดหน่อย จากนั้นเราก็กลับไปหลับกันพักใหญ่ จนสักสองทุ่มค่อยออกมาหาขนมกินเล่น

ทางเท้าที่นี่ไม่ได้มีไว้เฉพาะสำหรับคนเดิน แต่เต็มไปด้วยแผงลอยขายของทำนองเดียวกับบ้านเรา ฉันอยากขนมหวานขนาดหนัก ตัดสินใจเดินสุ่มเสี่ยงไปทางซ้ายมือ เดินหาตั้งไกล ที่นี่ไม่ยักมีร้านสะดวกซื้อแบบเซเว่นอีเลเว่น หรือเอเอ็ม พีเอ็ม พยายามเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ สุดท้ายเดินย้อนกลับไปที่เดิม ก่อนลองเดินไปทางขวามือบ้าง ค่อยเจอร้านขายของชำอีกด้าน แสดงว่าร้านโชว์ห่วยของที่นี่ยังมีแรงฮึดไม่ล้มหายตายจากไปไหน นี่ขนาดตั้งอยู่ใกล้ประเทศต้นตำหรับนะ… ยังเอาตัวรอดอยู่ได้


รถไฟใต้ดินเมืองเม็กซิโก ซิตี้ เปิดใช้งานสายแรกเมื่อปี ค.ศ. 1969 จำนวน 16 สถานี  ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 11 สาย มีความยาวทั้งสิ้น 207 กิโลเมตร และมีจำนวนสถานีทั้งสิ้น 175 สถานี

รถไฟใต้ดินที่นี่มีผู้โดยสารใช้บริการคับคั่งหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก  มีผู้ใช้บริการวันหนึ่ง ๆ มากกว่า
4 ล้านคน เป็นรองแค่กรุงมอสโคว์ที่มีผู้โดยสารประมาณ 7.5 ล้านคน เมืองโตเกียว 5.9 ล้านคน และกรุงโซล 4.4 ล้านคนเท่านั้น

รถไฟใต้ดินที่นี่ยังเป็นแห่งแรกของโลกที่ใช้สัญลักษณ์ แทนชื่อสถานีต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านตัวหนังสือไม่หลงทาง

Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com

1 มีนาคม 2555

เที่ยวเม็กซิโก ตอนที่ 8


แมนออฟลามันชา แมนออฟวานนาฮัวโต้
รู้จักดอนกีโฮเต้แมนออฟลามันชามั้ยคะยูลีไม่รู้จักคะ แต่ฉันรู้จักเพราะเคยอ่านบทละครเรื่องสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ที่คณะละครสองแปดนำมาแสดงเป็นละครเวที โดยแปลมาจากบทละครเรื่องดอน กีโฮเต้ แมนออฟลามันชา เขียนโดย เดล วาสเวอร์แมน นักเขียนบทละครชาวอเมริกัน  ซึ่งนำเรื่อง “El ingenioso hidalgo don Quijote de la Mancha” (สุภาพบุรุษเจ้าปัญญา ดอน กิโฮเต้ แห่งมานชา) ไปเขียนเป็นบทละครสำหรับออกอากาศทางโทรทัศน์มีความยาว 90 นาที ละครประสบความสำเร็จ  แต่วาสเซอร์แมน ยังไม่พอใจ เขารู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ กระทั่งมีคนเสนอว่าบทละครเรื่องนี้ ต้องทำเป็นละครเพลง เขาจึงได้ทำการเขียนใหม่ และนำออกแสดงที่โรงละครเฮาเวิร์ด เบย์ และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ได้รับรางวัล ละครเพลงยอดเยี่ยมแห่งปี 1966” จาก New York Drama Critics Award  สำหรับละครในภาคภาษาไทย  มีคุณศรัณยู วงศ์กระจ่าง และคุณจรัล มโนเพชรผลัดกันแสดงเป็นดอนกีโฮเต้ และมี นรินทร ณ บางช้าง เล่นเป็นอัลดอนซา สาวชาวนา
ฉันเจอะเจอดอนกีโฮเต้ขี่ม้านำหน้ามีซันโชคนรับใช้รูปร่างอ้วนเตี้ยขี่ลาตามหลังบนเสื้อยืดที่วางขายให้เห็นทั่วไปในเมืองวานนาฮัวโต้  เอ๊ะ! แล้วดอนกีโฮเต้ มาเกี่ยวข้องอะไรกับเมืองเมืองนี้ละ คนเขียนนายมิเกล  เด แซร์บานเตส (Miguel De Cervantes) ก็เป็นคนสเปน ไม่ใช่คนเม็กซิกันซะหน่อย แถมเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในท้องเรื่องก็ไม่ได้เกิดในเม็กซิโกอีกแล้วมันยังไงกัน
จะหาคำตอบก็ต้องลุยถึงแหล่ง
งานศิลปะที่วางโชว์ในพิพิธภัณฑ์ ดอนกีโฮ้เต้ กับ ซันโช คนรับใช้

 เมืองวานนาฮัวโต้มีพิพิธภัณฑ์ดอนกีโฮเต้  (Quijote Iconographic Museum) เมื่อเช้าที่แวะไปเยือนพิพิธภัณฑ์มัมมี่นั้นเป็นความคิดของยูลี หากคราวนี้เป็นคิวฉันบ้าง ตะแรกยูลีก็ไม่สนใจพิพิธภัณฑ์นี้สักเท่าไหร่ แต่พอฟังฉันพูดถึงบ่อย ๆ แถมเห็นรูปสกรีนดอนกีโฮเต้ กับคนรับใช้บนเสื้อยืดที่วางขายให้เกลื่อน เจ้าหล่อนก็ชักเริ่มตื่นเต้นตาม จากแผนที่พิพิธภัณฑ์ดอนกีโฮเต้ตั้งอยู่แถวด้านหลังโรงละครฮวนเรซ เราเลยย้อนกลับไปตั้งต้นที่จตุรัสจาร์ดินอีกครั้ง และหลังจากเดินวนเวียนหาอยู่ไม่นานก็เจอพิพิธภัณฑ์จนได้
ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าไปก็เจอเข้ากับรูปปั้นศรีษะนายมิเกล เด แซร์บานเตส  และตัวละครในจินตนาการของเขาดอนกีโฮเต้ นั่งอ่านหนังสืออยู่บนศรีษะ เก๋เสียไม่มี

ภายในพิพิธภัณฑ์ แสดงงานศิลปะที่อุทิศให้กับตัวละครในบทประพันธ์เอกของมิเกล เด เซร์บาสเตสล้วน ๆ มีแต่เรื่องราวของดอนกีโฮเต้ และคนรับใช้เท่านั้น ทั้งภาพวาด งานแกะสลัด และรูปปั้นในอิริยาบทท่วงท่าต่าง ๆ โดยศิลปินจากหลากหลายประเทศ เป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่อุดมไปด้วยฝันของชายชราที่พฤติกรรมออกจะเพี้ยน ๆ ด้วยเชื่อว่าตนเป็นอัศวินที่ชื่อว่า ดอนกีโฮเต้แห่งลาแมนชา  คิดว่าโรงแรมธรรมดาเป็นปราสาท สาวชาวนาเป็นเจ้าหญิง และกังหันลมเป็นยักษ์ร้าย แต่นั่นแสดงให้เห็นถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ การฝันถึงสิ่งที่ดีงาม ที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับจนสิ้นไร้
สำหรับส่วนตัวฉันนั้นโปรดปรานภาพโปสเตอร์ใบหนึ่งที่บังเอิญเห็นติดอยู่ข้างผนังด้านหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในส่วนบริเวณแสดงงานของพิพิธภัณฑ์ ภาพโปสเตอร์ดังกล่าวคล้ายเป็นภาพโฆษณาอะไรบางอย่าง ดอนกีโฮเต้ขี่จักรยานคันใหญ่ มีคนรับใช้ขี่จักรยานคันเล็กตามท้าย อัศวินสมัยโบราณ เมื่อหลงมาอยู่ในยุคปัจจุบันขี่จักรยานนี่แหละเหมาะเหม็งดี  ไม่เอาเปรียบสัตว์ แล้วก็ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก เสียดายแต่ว่าไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้มีแต่ความทรงจำที่เหลืออยู่ล้วน ๆ
มาถึงแหล่งแล้วยังไม่รู้ว่าพิพิธภัฑณ์ดอนกีโฮเต้มาตั้งอยู่ที่นี่ได้อย่างไรก็กระไรอยู่
ฉันกับยูลีพยายามกวาดสายตา เสาะหาเบาะแส หรืออะไรสักอย่างที่พอจะเป็นแหล่งข้อมูลให้ได้ แล้วเราก็เหลือบไปเห็นห้องทำงานแห่งหนึ่งภายในพิพิธภัณฑ์เปิดอยู่  ชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ในนั้น คาดเดาจากเครื่องแต่งกาย และลักษณะการวางท่าทีคงมีตำแหน่งสำคัญไม่เบาในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เลยขอเข้าไปคุยด้วย
คะไม่ต้องแปลกใจ ชายผู้นี้ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนชาววานนาฮัวโต้ทั้งหลายที่เราเจอะเจอมาก่อนหน้านี้  แต่ภาษาไม่ใช่อุปสรรค เมื่อเข้าใจคำถามของฉันกับยูลีแล้ว เขาได้เขียนคำตอบข้อสงสัยของเราเป็นภาษาสเปนใส่ในกระดาษให้อย่างเต็มอกเต็มใจ เพื่อให้เราไปหาคนแปลให้ฟังในวันหลัง (ฉันบอกแล้วว่าคนเม็กซิกันน่ารักสุด ๆ )
จากคำอธิบายเป็นเพราะมีคนต้องการเผยแพร่วรรณกรรมโลกชิ้นเอกนี้ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายโดยทั่วไป จึงมีการมองหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับตัวละครเอกในเรื่องนี้ เมืองวานนาฮัวโต้ได้รับเลือก เพราะเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรม และคนที่นี่ใช้ภาษาเดียวกับนักประพันธ์ นั่นคือภาษาสเปน
นอกจากที่นี่จะมีพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศเป็นพิเศษสำหรับตัวละคนเอกนามดอนกีโฮเต้แล้วยังมีเทศกาลที่จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนตุลาคมชื่อว่า Cervantes Festival เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่มิเกล  เด แซร์บานเตสผู้ให้กำเนิดดอนกีโฮเต้
คืนวันนั้นเป็นคืนวันอาทิตย์  รอบ ๆ จตุรัสจาร์ดินเปลี่ยนเป็นจตุรัสการแสดง มีกลุ่มนักดนตรีได้ยึดจับจองพื้นที่ตามจุดต่าง ๆ แสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่  ซึ่งเปิดโอกาสเฉพาะคืนวันพฤหัสบดี และวันอาทิตย์เท่านั้น นักแสดงนายหนึ่ง ต้อนผู้คนเข้าไปนั่งตรงบันไดหน้าโรงละครฮวนเรซ นับว่าเข้าท่า แปรบันไดทางขึ้นโรงละครเป็นที่นั่งชมการแสดง นักแสดงนายนี้แสดงละครใบ้ เราเลยหัวเราะเอิ้กอ้ากผสมโรงไปกับเขาได้
                หมดจากนักแสดงรายนี้ก็ผลัดเปลี่ยนเป็นคราวของกลุ่มนักดนตรีห้านายมาเล่นดนตรีสนุก ๆชักชวนให้นักท่องเที่ยวร้องตาม เล่นได้สักสี่ห้าเพลง ก็ชักชวนให้นักท่องเที่ยวเดินตามเป็นขบวน เหมือนขบวนแห่ ไปหยุดตามลานที่อยู่ใกล้ ๆ เราตามไปได้สักพักเห็นท่าไม่ค่อยดีเพราะมีคนเข้ามาขายไวน์ จริง ๆ แล้วขวดไวน์สวยมาก มีรูปดอนกีโฮเต้ด้วย แต่เราไม่กล้าลองและอยู่ต่อ เพราะกลัวจะมีคนเมาซึ่งจะเป็นอันตราย ค่ำคืนวันอาทิตย์ของเมืองแมนออฟลามันช่า จึงจบลงอย่างไม่ดึกนัก
 




Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com