๑
ไม่น่าเชื่อว่าในบรรดารูปภาพจำนวนนับร้อยรูปที่ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านช่วยกันกดเก็บละเอียดยิบจากการเดินทางไปเที่ยวในประเทศแถบยุโรป ภาพเมืองขนาดกระทัดรัดที่ทั่วทั้งเมืองแทบจะมีสีหลังคาอยู่สีเดียวนั่นคือสีส้ม และมีแม่น้ำสายน้อย ๆ โอบล้อมเกี่ยวกะหวัด จะชนะใจผู้ชมเหนือกว่าเมืองใหญ่ที่ชื่อชั้นการท่องเที่ยวอยู่ในระดับต้น ๆ อย่างเวียนนา ปราก และมิวนิค อย่างหน้าตาเฉย
หลายคนหยุดชะงัก เอ่ยปากถามถึงชื่อเสียงเรียงนาม
“เชสกี้ ครุมลอฟ” เป็นชื่อที่ฉันเอ่ยตอบกลับไป
คิ้วขมวดนิดหน่อย … ประมาณว่า ชื่อไม่ค่อยคุ้น อะไรกี้ ๆ ทำนองนั้น แต่บางคนก็อ๋อ…เพราะช่วงหลังเจ้าเมืองเล็กหลังคาส้มฮอตฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งมีการันตีความเป็นเมืองมรดกโลก ยิ่งเหมือนนางงามได้มงกุฏยังไงยังงั้น ดึงดูดให้ผู้คนที่ผ่านไปมา อดไม่ได้ต้องเหลียวหันกลับมามอง
เชสกี้ ครุมลอฟเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ทางตอนใต้ของประเทศสาธารณรัฐเชค แคว้นโบฮีเมีย ครอบคลุมพื้นที่ 22.16 ตารางกิโลเมตร ประมาณว่าด้วยสองเท้าที่ทุกคนมีก็สามารถสำรวจรอบเมืองได้สบาย ๆ ทั้งจำนวนประชากรก็มีขนาดกำลังน่ารัก ประมาณแค่ 14,000 กว่าคนเท่านั้น
เมืองเชสกี้ ครุมลอฟ จากภาพโปสเตอร์ที่วางขายตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไป
เมืองเล็ก ๆ แบบนี้ หาที่พักไม่ลำบาก เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องที่ตั้ง เพราะไม่ว่าที่พักจะตั้งอยู่ตรงไหน ส่วนไหนของตัวเมือง ก็จะถูกอ้างโฆษณาชวนเชื่อว่า อยู่ใกล้จุดท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งนั้น
ฉันเลือกที่พักที่ถอยห่างจากตัวเมืองออกไปเล็กน้อย ด้วยสนนราคากำลังน่ารัก บอกราคาใครไปก็ห่อปาก ไม่รู้ว่าด้วยความชื่นชม หรือนึกในใจว่า “โคตรเขี้ยว” ความจริงไม่ใช่แค่เรื่องของราคา หากเป็นเรื่องของบรรยากาศที่เป็นตัวบวกที่ยวนใจ เพราะที่พักที่ว่าอยู่ติดกับแม่น้ำวัลตาวา ( Vltava) ที่เกี้ยวพาราสีไปกับตัวเมือง แล้วเจ้าของก็นำมาเป็นจุดขายเสียด้วย ภาพถ่ายระเบียงด้านหลังที่ติดริมน้ำ ดูอบอุ่น ชวนให้นึกอยากนั่งจิบกาแฟอุ่น ๆ ผึ่งเท้า อย่างเกียจคร้าน และภาพนั้นเองทำให้ฉันกดเม้าส์คลิ้กเลือกที่จะพักที่นี่
ใคร ๆ ก็ว่าฉัน sense ดี เรื่องเลือกที่เที่ยวกับที่พัก บางทีไม่ต้องไปค้นหา ไม่ต้องไปสอบถามข้อมูลจากใคร แค่มีภาพแผนที่ แผ่นพับ โบวชัวร์ ประสมกับข้อมูลเพียงเล็กน้อย มาวางให้เลือกอยู่ตรงหน้า… ฉันมักจะเลือกได้ที่ดี ๆ อยู่เสมอ ๆ
ที่พักที่นี่ก็เช่นกัน… ได้สัมผัสกับความเป็นโบฮีเมียนอย่างไม่ตั้งใจ แต่ไม่ใช่โบฮีเมียน แบบเครื่องแก้วคริสตัลเจียระไนสวย ๆ ที่ขึ้นชื่อ แต่เป็นโบฮีเมียน แบบติสต์ ๆ ที่ใช้ของง่าย ๆ พื้น ๆ ในการแต่งสถานที่ ภาพโปสการ์ดหลากหลาย ภาพถ่ายธรรมดา สีบ้าง ขาวดำบ้าง ติด ๆ รวมกันตรงแผ่นผนัง น่าสนใจตรงมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ค่อย ๆ ละเลียดดู แล้วบางจุด บางที่ก็ผสมสีสันสด ๆ เข้าไปเฉย ๆ เสีย อย่างนั้น อย่างห้องน้ำ เปิดบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มธรรมดาเข้าไปครั้งแรกแทบผงะ เมื่อปะทะเข้ากับสีส้มแจ้ดทึบทั้งผนัง แล้วภาษาน่ะ ที่เขียนติดแผ่นป้ายเล็ก ๆ ตรงมุมโน้น มุมนี้ มันช่างจี๊ด ตักเตือนอย่างสวิงสวายให้แขกที่มาพักมีมารยาทบ้างเวลาใช้ห้องน้ำน่ะ ที่นี่ของส่วนรวมนะจ๊ะ
ระเบียงด้านหลังถูกใจอย่างที่คาด แล้วความที่ที่นี่เป็น hostel เล็ก ๆ ทำให้ไม่มีใครแย่งใช้พื้นที่ ปล่อยให้ฉันกับเพื่อนร่วมบ้าน ทำกับข้าว นั่งทานอาหารริมแม่น้ำสบายใจ แถมยังมีเสียงเพลงดังคลอเบา ๆ ที่เปิดจากตลับเทป อันเป็นเสียงร้องแท้ ๆ ของเจ้าของที่พัก ที่เป็นสาวผิวสี ผมยาวดำสนิทคล้ายคนเอเชีย
บริเวณข้าง ๆ เครื่องเล่นวิทยุ มีปึกโปสการ์ดวางอยู่ ไม่ได้สะสวย สะดุดตา แต่ก็รู้ว่าเจ้าของทำเอง… ขายเอง… ใครใคร่หยิบ ก็หยิบไป… แต่วางเงินไว้ให้ก็แล้วกัน
บรรยากาศแบบนี้ จะไม่เรียกว่า โบฮีเมียน สไตล์ได้ยังไง
ที่ชอบเป็นพิเศษอีกที่คือห้องนอน ไม่ได้ตบแต่งสวยงาม สะอาด สะอ้าน ทั้งเครื่องเรือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้เชย ๆ เหมือนเครื่องเรือนยุคสมัยคุณพ่อ คุณแม่ ตามต่างจังหวัดด้วยซ้ำ แต่ที่ชอบนั้น ชอบเพราะบรรยากาศ ที่ตัวห้องอยู่ชั้นสองชิดติมริมถนนโบราณสายแคบ ๆ ยามค่ำคืนนั่งขีด ๆ เขียน ๆ บนโต๊ะไม้ริมหน้าต่างที่ แค่เปิดแง้มออกไปนิด ๆ ก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศของท้องถนน ที่ร้างลา ขนาบด้วยอาคารสองด้าน ที่เปิดไฟสลัว ๆ นาน ๆ ทีจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินผ่านสักกลุ่มหนึ่ง
๒
ถ้าอยากเห็นเมืองเชสกี้ ครุมลอฟทั้งเมืองชัด ๆ ว่าคดเคี้ยวเกี้ยวกับแม่น้ำวัลตาวาอย่างไร ต้องตรงไปที่ปราสาทครุมลอฟ แม้ขนาดของเมืองจะกระจิด แต่ตัวปราสาทไม่ได้กระจิดตาม ทั้งยังมีศักดิ์และสิทธิ์เป็นปราสาทใหญ่ลำดับสอง รองจากปราสาทปราก … ดังนั้น ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหน มุมไหนของเมือง จะแลเห็นยอดปราสาทอวดโฉมให้เห็นอยู่เสมอ ฉะนั้น.. แค่แหงนหน้ามองหายอดปราสาท จากนั้นเดินตรงไปตามทางที่ทอดอยู่ข้างหน้า… อาจจะวนซ้าย วนขวาบ้าง แต่สุดท้ายตัวปราสาทครุมลอฟจะรออยู่เบื้องหน้า
ส่วนตัวแล้ว…ฉันชอบที่จะไปถึงสถานที่ที่ต้องการจะไปเยือนแต่เช้า ณ เวลานั้น สถานที่นั้นจะยังคงสงบ แดดยังคงอุ่นนุ่ม ไม่ร้อนแรง… นับเป็นช่วงเวลาที่แสนดี ก่อนที่ความคึกคัก และความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวหลากหลายจะมาเยือน เป็นสองบรรยากาศสองแบบที่จะได้สัมผัส และ..ตามประสาคนงกเที่ยว… ฉันรู้สึกตัวพอง ๆ ประมาณว่าได้กำไรมากกว่าชาวบ้านคนอื่นเขา
ณ ช่วงเวลาที่รอปราสาทเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ฉวยโอกาสค่อย ๆ เดินละเลียดไปตามทางที่ทอดขึ้นไปยังพื้นที่ปราสาทที่เป็นสวนด้านบน ระหว่างทางได้เห็นภาพเมืองทั้งเมืองจากมุมสูง … แสงแดดอุ่น ๆ ส่องกระทบหลังคาเมืองสีส้มที่เรียงซ้อนสลับต่อเนื่องตามพื้นที่ที่คดโค้งราวรูปตัวเอส เลาะเลียบไปกับสายน้ำวัลตาวา ณ เวลานั้น รู้สึกเหมือน เชสกี้ ครุมลอฟ เป็นเมืองที่หลุดมาจากเทพนิยาย… เมื่อไปจนถึงสุดทาง รอบตัวเป็นสวนสวย และ เช้า ๆ อย่างนั้น สวนทั้งสวนเป็นของฉันกับเพื่อนร่วมบ้าน ใคร่จะเดินไปชมดูสวนบริเวณไหนไปได้ตามใจชอบ จะก้ม ๆ เงย ๆ ดูดอกไม้ดอกเล็กดอกน้อยไม่ต้องเกรงใจ หรือเขินสายตาใคร… นี่แหละ เวลายามเช้า
ปราสาทครุมลอฟเริ่มเปิดให้เข้าชมเวลาเก้าโมงเช้า ที่นี่ไม่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตามอำเภอใจ แต่จะมีตารางเวลา และเส้นทางนำนักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นรอบ ๆ อย่างชัดเจน มีไกด์คอยอธิบายให้ข้อมูล ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีได้
เปรียบเป็นผู้หญิง ปราสาทครุมลอฟไม่ใช่หญิงสาวอ่อนหวาน หากเป็นหญิงสาวที่ดูหนักแน่น อบอุ่น น่าไว้เนื้อเชื่อใจ อาจเป็นเพราะสถานที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่หนาวจัด การก่อสร้างจึงเน้นความหนาหนักแข็งแรง แต่ใช่ว่าจะไร้จริตเสียเลย มีความหรูหราพอประมาณสอดแทรกอยู่ในส่วนที่เป็นโบสถ์ และเครื่องเฟอร์นิเจอร์ที่วางตบแต่งในส่วนที่เป็นห้องนอน แต่ที่ดูเย้ายวนที่สุดคงเป็นห้องสุดท้าย เป็นห้องโถงใหญ่ที่เรียกว่า “Masquerade Hall”
Masquerade Hall เป็นห้องโถงสำหรับให้ผู้คนในวงสังคมชั้นสูงที่จะมาดูการแสดงในโรงละครของปราสาทได้พักรอเวลาเข้าชมการแสดงที่นี่ ภาพวาดบนผนังสีสันสดใสเป็นภาพจำลองงานรื่นเริงของชนชั้นสูง ทั้งหมดกำลังสนุกสนานอย่างเต็มที่กับงานเต้นรำสวมหน้ากาก ที่ประหนึ่งเป็นการได้ปลดปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง คนวาดภาพเองคงนึกสนุกได้ใส่ภาพตัวเองนั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง และตรงเหยือกกาแฟ ได้สลักชื่อของเขาไว้ Josef Lederer
บริเวณขอบมุมผนัง และบนฝ้าเพดานหรูหราด้วยลวดลายที่อ่อนช้อยตามสไตล์ของศิลปะยุคโรโคโค ที่นำเอาเส้นสายของกาบหอยมาประยุกต์เป็นลวดลายตกแต่ง …นับเป็นรายการสุดท้ายของการเข้าชมปราสาทที่ทุกคนดูจะพึงอกพึงใจ เมื่อคนนำทางบรรยายเสร็จ ได้ชี้ไปที่ประตูทางออก… ราวจะบอกผู้มาเยือนว่าจะใช้เวลาอ้อยอิงชื่นชมห้องสุดท้ายนี้อย่างไร แล้วแต่คุณ นี่เป็นรายการสุดท้ายแล้ว ไม่มีการรีบเร่ง… แต่หากพ้นประตูออกไป การมาเยือนเป็นอันจบลง
๓
เชสกี้ ครุมลอฟเป็นเมืองเดินสนุก ด้วยขนาดที่เหมาะสำหรับเดินเที่ยวเล่น ไม่ต้องง้อพาหนะอื่นช่วยทุ่นแรงนอกจากสองขา และแทบไม่ต้องก้มมองแผนที่ ด้วยไม่ต้องกลัวหลง และไม่ต้องรีบเร่ง เวลาเพียงหนึ่งวันพอสำหรับการเตร็ดเตร่ ทั้งตัวเมืองด้านในและขอบด้านนอก
ทางถนนของเชสกี้ครุมลอฟ เล็กแคบเป็นตรอกซอกซอย ให้อารมณ์สนุก เหมือนกำลังซอกแซกแอบหนีมาเที่ยวเล่น อาคารในเมืองทาสีกันแจ่มสดใส และมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ดูเพลิน ไม่ว่าจะฝาท่อถนนที่เป็นรูปสัญลักษณ์ตัวเมือง เหล็กดัดอาคารลวดลายแปลกตา แล้วเห็นคนเชคหน้าตานิ่ง ๆ เฉย ๆ อย่างนั้น แต่ฉันว่าพวกนี้มีอารมณ์ขัน และมีสุนทรียในการบรรจงประดิษฐ์สิ่งของน่ารักน่าชัง ก็ดูข้าวของที่ระลึกที่วางยั่วตายั่วใจในร้านแต่ละร้าน มีทั้งแบบหวานเชี้ยบ เก๋ ๆ ขายไอเดีย ลึบลับหน่อย ๆ หรือจะออกแนวทะลึ่ง ตึงตัง น่ารัก ก็มีให้เห็น แล้วแต่ละร้านก็ช่างสรรหาความเป็นตัวของตัวเอง ขายของแทบจะไม่ซ้ำรูปแบบกัน
ร้านค้าที่นี่จะปล่อยให้ลูกค้าเดินชมสินค้าอย่างสบายใจ จะหยิบจะจับข้าวของชิ้นไหนขึ้นมาดู ขึ้นมาชม ไม่มีว่ากัน แถมยังใจดีให้ถ่ายรูปได้อีก ทำให้ยิ่งได้ใจเดินเข้าเดินออกร้านนั้น ร้านนี้ อยู่นั่นแหละ
เดินจนเมื่อยแล้ว ถ้าอยากพักเท้า ลองเดินไปแถวริมแม่น้ำ บริเวณนั้นจะมีร้านอาหารบรรยากาศดี ๆ ให้เลือกนั่งอยู่หลายร้าน หรือจะไปที่จตุรัสกลางเมือง ที่เป็นลานกว้าง มีที่ให้นั่งพักสบาย ๆ ชมดูสภาพบ้านเมือง และผู้คน และยิ่งถ้าตบท้ายด้วยไอศครีมโฮมเมดสีหวาน ๆ ที่มีขายทั่วไปแล้วละก้อ อาจจะมีแอบเพ้อเล็ก ๆ ตอนท้องตึง ๆ ได้ว่าเมืองเล็ก ๆ แห่งแคว้นโบฮีเมียแห่งนี้ ทำไมถึงมีเสน่ห์น่ารักน่าชังได้ขนาดนี้…. หนอ