19 มิถุนายน 2557

หุบเขากังกาลา โอกินาวา

(ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์)
 กังกาลา... กังกาลา.... โทนเสียงที่เปล่งออกมาของหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า ทั้งตื่นเต้นและลึกลับอยู่ในที กังกาลา กังกาลา....   ผี  ผีแน่ ๆ คนนำทางต้องกำลังเล่าถึงตำนานลึกลับในหุบเขาที่ฟังแล้วขนลุก ขนพอง ครั้นหันไปทางคุณอิเรอิที่เป็นคนนำพวกเราเที่ยว เจ้าตัวรีบถ่ายทอดเป็นภาษาไทยทันที
                “กังกาลา เป็นเสียงหินครับ หินที่โยนจากด้านบนลงมายังหุบเขาด้านล่าง แล้วข้างล่างนี่ลึกมาก เสียงเลยดังนาน กว่าจะหยุด”
                “อ้อ... ดังกึง กึง กึง ร่วงลงมาทำนองนั้น” คนใกล้ตัวพยักหน้างึกหงัก ทำนองเข้าใจ  ส่วนฉันรู้สึกเสียอารมณ์มากกว่า นึกว่าจะได้ฟังตำนานอะไรสยอง ๆ สักหน่อย หันไปมองสาวน้อยคนนำทางอีกครั้ง ใบหน้าเก๋นั่นกำลังยิ้มน้อย ๆ
                เออ... เจ้าตัวก็เล่าธรรมดานี่แหละ อาจมีน้ำเสียงตื่นเต้นเจือลงไปบ้าง   หากตัวฉันเองนี่แหละที่เสริมเติมแต่งเข้าไปเอง  คิดเอง เออเองเป็นตุเป็นตะ

                และเจ้าเสียงหล่นกึง กึง กึง ที่คนญี่ปุ่นฟังเป็นกังกาลา กังกาลา จึงกลายเป็นชื่อหุบเขาแห่งนี้
..........
                หุบเขากังกาลา (Gangala Valley) ตั้งอยู่บนเกาะโอกินาวาตอนใต้  แรกโผล่ไปยังบริเวณด้านหน้าทางเข้า เห็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่  ที่ด้านในถูกจับแปลงโฉมเป็น Cave Café สำหรับนักท่องเที่ยว  รู้สึกชอบขึ้นมาทันที คงเป็นเพราะโพรงถ้ำนั้นดูโปร่งโล่ง  และมีต้นไม้เขียวชะอุ่มอยู่ด้านหน้า  ใบสีเขียวที่เป็นมันนั้นยังชุ่มน้ำจากฝนที่ตกลงมาปรอย ๆ ประสานรวมกันแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น อยากนั่งทอดหุ่ยดื่มกาแฟสักแก้วขึ้นมา
                ฉันหันไปชูนิ้วโป้งให้กับคุณอิเรอิที่เดินตามมาทีหลังด้วยอยากสื่อให้รู้ว่า .... ปิ๊งสถานที่นี้ตั้งแต่
แว่บแรกเลยเชียว
แรกเห็นก็ชอบสถานที่นี้แล้ว
                การเข้าไปชมหุบเขากังกาลาด้านในจะต้องมีคนนำทาง จู่ ๆ จะเข้าไปชมเลยนั้นไม่ได้ ซึ่งทางการท่องเที่ยวเองได้จัดรอบในการเข้าชมไว้วันละสี่รอบ ใช้เวลาในการเดินชมประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
                คุณอิเรอินำพวกเรามาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย จึงมีเวลาที่จะเตร็ดเตร่ดูของที่ระลึกที่วางขายใน Cave Café  ก่อนที่จะเข้าชมด้านใน ของที่ระลึกพวกนี้เปรียบเสมือน Information ภาครวบรัด  อะไรที่เป็นทีเด็ดของที่นี่ จะถูกงัดนำมานำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อหา
                น้องคนหนึ่งในคณะหยิบพัดที่ทำเป็นรูปหน้าคนยุคโบราณขึ้นมาทาบบนใบหน้าตนเองแปลงสภาพกลายเป็นหนุ่มมนุษย์ถ้ำ... อืมม์ ต้องมีการขุดค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณในหุบเขาแห่งนี้แหง๋ ๆ
                เหลือบตามองดูของที่ระลึกอื่น ๆ เห็นภาพถ่ายที่ถ่ายจากในถ้ำแขวนเรียงเป็นแถว ทุกคนพุ่งสายตาไปที่ภาพหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย
                หนุ่ม ๆ พากันยิ้มกริ่ม  ด้วยภาพหินที่งอกย้อยลงมานั้นละม้ายคล้ายองคชาติโดยไม่ต้องใช้จินตนาการใดช่วยเสริมแต่ง  นับเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญในการชมหุบเขาแห่งนี้โดยไม่ต้องสงสัย ไม่เชื่อแค่ดูสายตาแต่ละคน  นี่ขนาดยังไม่เห็นของจริงนะยังวิบวับกันเสียไม่มี
                และ...มองเลยไปยังหนังสือเล่มโตที่วางขายอยู่ด้านหน้าใกล้ ๆ กัน... หน้าปกเป็นภาพไม้ใหญ่ที่มีรากอากาศจำนวนมากงอกลงมาพันลำต้นขนาดใหญ่   ต้น GAJUMARU .... ต้นไทร  ต้นไทรแน่ ๆ  จะมีไม้ใหญ่ชนิดไหนในโลกนี้อีกที่เต็มไปด้วยกิ่งก้านห้อยย้อย และรากอากาศรุงรังแบบนี้  และคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เมื่อกางแผ่นพับที่คุณอิเรอิแจกให้กับทุกคน ปรากฏภาพต้นไทรขนาดใหญ่ มีหญิงสาวที่ขนาดตัวเหลือเล็กนิดเดียวเมื่อยืนเทียบกับไม้หญ่ที่สง่างามนั้น
                “ต้น Gajumaru ครับ... ภาษาไทยเรียว่าอะไร ผมไม่ทราบ”
                “ต้นไทร.... Banyan Tree
                “อ้า... ต้นไทร” คุณอิเรอิพยายามออกเสียงตาม
                ฉันชี้ไปที่อักษรญี่ปุ่นที่โปรยบนรูปภาพ   “หมายถึงอะไรคะ”
                คุณอิเรอินิ่งไปสักครู่พยายามเรียบเรียง  “เออ... หมายถึง เงียบ และงดงามครับ”
                เงียบและงดงาม... ต้นไทรใหญ่ของที่นี่คงเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของหุบเขากังกาลา

ปรับพื้นที่ถ้ำกลายเป็น Cave Cafe

นี่คือโฉมหน้า Minatogawa Man
.......

                ต้นไม้เดินได้
                ได้เวลาเข้าชมหุบเขาด้านใน เจ้าหน้าที่หญิงสาวที่เป็นคนนำทางได้นำคณะฯ ทั้งหมดไปยังลานที่อยู่ถัดลึกเข้าไปใน Cave Café  เล็กน้อย  บริเวณนั้นมีม้านั่งจัดเตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยวนั่งฟังเจ้าหน้าที่อธิบายถึงข้อมูลเบื้องต้นของสถานที่ รวมถึงวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
                เสียงภาษาญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยสระสั้น ๆ  ผสมกับใบหน้าเก๋ ๆ และท่าทางคล่องแคล่วของหญิงสาวทำให้ฟังได้เพลินเชียว แม้จะไม่เข้าใจตัวภาษาก็ตาม
                ระหว่างอธิบาย.. หญิงสาวได้ยกแผ่นภาพที่เตรียมไว้ ยกขึ้นประกอบเป็นระยะ นั่นไง ภาพวาดจำลองมนุษย์โบราณอีกแล้ว ใบหน้าเดียวกับที่น้องผู้ชายได้ลองยกขึ้นมาทาบทับใบหน้าตนเองก่อนหน้านี้  คุณอิเรอิทำหน้าที่ล่ามอธิบายให้พวกเราฟัง และเป็นอย่างที่คาดไว้ ในหุบเขาแห่งนี้มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ  นับอายุถอยหลังไปได้ถึง 18,000 ปีเลยเชียว  เชื่อกันว่าโครงกระดูกเหล่านี้เป็นของชนกลุ่มแรกที่อาศัยอยู่บนเกาะ  และนักโบราณคดี เรียกขานคนกลุ่มนี้ว่า Minatogawa Man
                ปฐมนิเทศเสร็จ  หญิงสาวได้ผายมือไปด้านหลัง  แจ้งให้ทราบว่ามีกระติกน้ำสแตนเลสบรรจุชามะลิหอม ๆ เย็น ๆ  เตรียมไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้จิบแก้กระหายระหว่างเดินอยู่ด้านใน  เป็นบริการเล็ก ๆ น้อยๆ ที่น่ารักทีเดียว
                ออกจากตัวถ้ำ  เดินไปตามเส้นทางสู่พื้นที่ด้านนอก
                ต้นไม้หลากหลายชนิด หลากหลายสายพันธุ์ เกี่ยวกอดขียวชะอุ่มรอบด้าน  ตั้งแต่ไม้ใหญ่ยืนต้น ไม้ล้มลุก ไม้เกาะเกี่ยว ไม้อิงอาศัย..... นี่นับเป็นหุบเขาที่อุดมสมบบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
                เจ้าหน้าที่ชี้ชวนให้มองไปที่ศาลาเล็ก ๆ ข้างทาง บนนั้นมีเฟินข้าหลวงหลังลายเกาะอยู่ ทีเด็ดอยู่ตรงที่บอกว่านำมากินได้นี่สิ   ทำเอาคนไทยตาโต ไปตาม ๆ กัน ไม่ยักรู้กันมาก่อนว่า เฟินชนิดนี้กินได้ด้วย ต้นไม้อีกชนิดหนึ่งที่ถูกชี้ชวนให้ชม เป็นกอไผ่ขนาดใหญ่ริมทาง พร้อมข้อมูลที่ว่าเป็นไผ่พันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่...ต้นไม้ที่ภูมิใจนำเสนอจริง ๆในหุบเขากังกาลา คือต้นไทรขนาดใหญ่ที่มีรากอากาศงอกจากลำต้นลงดิน ช่วยค้ำจุนให้ลำต้นตั้งตะหง่านไปด้านบน
                “ต้นไม้เดินได้ คือฉายาของต้นไม้ชนิดนี้ครับ”  คุณอิเรอิแปลให้พวกเราฟัง
                เป็นฉายาที่ช่างคิดจริงเชียว  แถมเห็นภาพอีกด้วย รากที่งอกจากลำต้นลงสู่ดิน เป็นเสมือนการก้าวย่างเดินของต้นไม้ แม้จะทีละนิด ทีละนิด ก็ตาม รากอากาศที่แข็งแรงเหล่านี้เกาะเกี่ยวยึดกับผนังหิน และปากโพรงถ้ำที่ล้วนเกิดจากปะการัง ลองจินตนาการย้อนกลับไป หุบเขาแห่งนี้ครั้งหนึ่งคงเคยเป็นทะเล




เจ้าหน้าที่สาวบรรยายข้อมูลน่าสนใจของหุบเขากังกาลา


โพรงถ้ำและต้นไทรเป็นภาพที่เห็นตลอดทาง

                ถ้ำเพศหญิง ถ้ำเพศชาย และเทพเจ้า
                หุบเขาที่เคยเป็นทะเล เต็มไปด้วยโพรงถ้ำมากมาย ....ถ้ำที่เกิดจากปะการัง
                ถ้ำเพศหญิงเป็นหนึ่งในบรรดาถ้ำเหล่านั้น   มีหินที่มีรูปร่างคล้ายผู้หญิงอยู่ภายใน หากพื้นที่ที่เล็กแคบจึงไม่อนุญาตให้เข้าชมด้านใน  จึงไม่ได้เห็นของจริงว่าจะละม้าย คล้ายแค่ไหน  ถัดจากถ้ำเพศหญิงไปไม่ไกล เป็นถ้ำเพศชาย ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้เป็นพิเศษ  ด้วยใคร ๆ ก็อยากหิ้วตะเกียงเข้าไปส่องชมหินที่งอกย้อยลงมาเป็นแท่งเดี่ยวโดด ๆ ใกล้ ๆ  ว่าจะเหมือนองคชาติขนาดไหน เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ยิ่งรู้สึกเหมือน  นี่คงเป็นที่มาในการเรียกถ้ำแห่งนี้ว่าถ้ำเพศชายสินะ
                สัญลักษณ์เพศหญิง  และเพศชาย มักเกี่ยวพันกับความอุดมสมบูรณ์
                เชื่อกันว่า ภายในถ้ำเพศหญิงและเพศชายมีเทพเจ้าสถิตอยู่ด้านใน เทพเจ้าแห่งถ้ำเพศหญิงนั้นอำนวยพรแก่ผู้มากราบไหว้ให้คลอดลูกได้ง่าย ขณะเทพเจ้าแห่งถ้ำเพศชายนั้นอำนวยพรแก่ผู้มากราบไหว้ให้เลี้ยงลูกได้ง่าย ถ้าคิดอย่างขัน ๆ ก็ต้องว่า ช่างแบ่งหน้าที่กันทำได้ดีจริง

ถ้ำเพศหญิง
ถ้าเพศชาย



                ไม้ใหญ่  และเสียงกึง กึง กึง
                ถัดเลยจากถ้ำเพศชาย เจ้าหน้าที่นำพวกเราเดินทะลุโพรงถ้ำ และกำลังจะเดินไปตามทางเดินที่สร้างลอดใต้ทางถนนเพื่อไปยังพื้นที่หุบเขาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง นั่นฟ้องให้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้ปลีกวิเวกแต่อย่างใด หากทับซ้อนอยู่กับพื้นที่ตัวเมืองนี่แหละ
                แต่เดี๋ยวก่อน หยุดตรงด้านหน้าทางเดินที่สร้างลอดใต้ทางถนน
                เจ้าหน้าที่สาวได้เฉลยถึงที่ของของชื่อหุบเขา ณ ตรงนี้เอง  กังกาลา กังกาลา .... ซึ่งก็คือเสียงกึง กึง กึง ของก้อนหินที่หล่นลงมาในหุบเขานี้เอง
                ทันทีที่พ้นทางลอดใต้ถนน  ก็เผชิญหน้ากับต้นไทรใหญ่ต้นเดียวกับที่อยู่บนแผ่นพับที่คุณอิเรอิแจกให้กับทุกคน  สายตาทุกคนจับจ้องไปที่ต้นไทรนั้น..... เงียบ และงดงาม นี่เป็นไม้ใหญ่  Gajumaru ที่ใหญ่ที่สุดที่ได้เห็น
                “อายุ 250 ปี แล้วครับ” คุณอิเรอิแจ้งกับพวกเรา
                เท่ากับ 3 ชั่วอายุคน.... คุณทวดแล้วสินะ  เป็นคุณทวดที่มาดเท่ สง่างามสุด ๆ จนบรรดาหลาน ๆ ทุกคน เต็มใจ และพร้อมใจที่จะถ่ายรูปหมู่กับคุณทวด ทั้งที่ต่างกลุ่มต่างมา และ ต่างไม่รู้จักกัน


ต้น Gajumaru หรือ ไทร พญาไม้ใหญ่ของหุบเขากังกาลา

สุสานเก่า และ โครงกระดูกมนุษย์โบราณ
                หุบเขากังกาลาเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายกว่าที่คาดไว้
                ภายในหุบเขาแห่งนี้มีสุสานเก่า  ซึ่งจะไม่สังเกตเห็นเลย หากเจ้าหน้าที่ไม่ชี้ให้ดู  ด้วยพื้นที่ที่เข้าสู่สุสานนั้นกลมกลืนไปกับผนังถ้ำข้างทาง  มีผิดแผกให้สังเกตตรงที่ผนังดังกล่าวจะก่อขึ้นจากก้อนหินก้อนเล็ก ๆ วางเรียงต่อกันเป็นแนวเรียบร้อย  เว้นช่องสี่เหลี่ยมเล็กแคบไว้....
                หันไปทางคุณอิเรอิ  “สุสานเก่าแห่งนี้ไม่ได้ใช้งานแล้วครับ แต่...อาจจะยังมีคนมากราบไหว้บรรพบุรุษเป็นได้”
                และสิ่งที่ยืนยันว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่ได้ปลีกวิเวกแต่อย่างใด เมื่อคนนำทางพาพวกเราไปยังระเบียงไม้ที่ยกพื้นขึ้นสูง ทำให้กลายเป็นจุดชมวิวพื้นที่รอบ ๆ หุบเขา... กวาดตามองแล้วก็รู้สึกทึ่ง เมื่อถัดเลยไปเพียงนิดเดียวก็เห็นบ้านคนแล้ว...
                และที่ต้องแอบนินทากันเล็กน้อย เมื่อเจ้าหน้าที่ชี้ให้คณะชมต้นมะละกอแกร็น ๆ ที่ขึ้นอยู่ริมทาง
                มะละกอเนี่ยนะ อยากจะร้องแบบนั้น
                แต่คุณอิเรอิรีบเฉลย   “คือที่ญี่ปุ่น ไม่ค่อยได้เห็นต้นมะละกอครับ เลยชี้ให้ดู”
                จะมีให้เห็นก็ที่โอกินาวานี่แหละ แล้วจะไม่ให้อวดสักหน่อยได้อย่างไร เพราะคณะที่เข้าชมหุบเขากังกาลาพร้อม ๆ กับพวกเรา เป็นชาวญี่ปุ่นที่มาจากจังหวัดอื่นเสียส่วนใหญ่
                ในที่สุดก็มาถึงจุดที่มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ พื้นที่บริเวณนั้น ปล่อยพื้นที่ให้เห็นร่องรอยของการขุดเจอไว้อย่างตั้งใจ และมีเปลือกหอยขนาดใหญ่วางไว้ตรงกลางด้านบน
                เจ้าหน้าที่หยุดให้ยืนชมดูอยู่ชั่วขณะ  ก่อนนำสู่พื้นที่ที่เป็นถ้ำกว้าง มีเก้าอี้จัดวางเตรียมไว้พร้อม  แต่ละคนเลือกที่นั่งตามใจชอบ ฟังเจ้าหน้าที่เล่าเรื่องราวของหุบเขากังกาลาอีกครั้ง แผ่นป้ายง่ายๆที่เตรียมไว้ ถือประกอบเปลี่ยนทีละแผ่น ทีละแผ่น   นี่เป็นการปัจฉิมนิเทศสินะ นั่งมองเจ้าหน้าที่สาวขณะปฏิบัติหน้าที่แล้วก็นึกนิยม  การเดินเที่ยวชมพื้นที่ในหุบเขาที่เป็นไปอย่างเพลิดเพลิน ต้องยกความดีความชอบให้หญิงสาวด้านหน้ากว่าครึ่งเลยทีเดียว ลักษณะการพูดจาที่คล่องแคล่ว  เต็มอกเต็มใจที่จะให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ ผสมกับกริยาที่ละมุนละไมนอบน้อม ทำให้ทุกคนตบมือกันกราวใหญ่ ขณะที่เธอโค้งเป็นสัญญาณให้รู้ว่า.... การเข้าชมหุบเขากังกาลาสิ้นสุดลงแล้ว หนุ่ม ๆ ในกลุ่มรีบตรงดิ่งเข้าหาหญิงสาว เพื่อจะขอถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกทันที และไม่ผิดหวัง เมื่อเธอยิ้มตอบรับอย่างเต็มใจ
                เสน่ห์ของสถานที่ประสานกับเสน่ห์ของตัวบุคคล ทำเอาชาวคณะที่เดินทางไปด้วยกัน เลือกหุบเขากังกาลาเป็นที่เยือนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะโอกินาวาเลยทีเดียว

สุสานเก่าภายในหุบเขา

บริเวณที่ขุดเจอโครงกระดูกมนุษย์โบราณ

บรรยกาศปัจฉิมนิเทศ

สนใจข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเกาะโอกินาวา ดูได้ที่  https://www.facebook.com/visit.okinawa.th
หากสนใจเข้าชมหุบเขากังกาลา ต้องจองก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน ที่ เบอร์โทรศัพท์ในเว็บไซต์ http://www.gangala.com/  

22 เมษายน 2557

Vita Nova เรือที่พักใน Amsterdam

Vita Nova เรือที่พักใน Amsterdam

ได้มาถึงเมืองอัมสเตอร์ดัมที่ได้รับฉายาว่าเวนิสแห่งยุโรปเหนือทั้งที เลยเลือกที่พักแบบ boat hotel อัมสเตอร์ดัมนั้นเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยคูคลอง และใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟกลางของเมืองเดินห่างออกไปเลียบไปตามคลองแค่ประมาณครึ่งไมล์จะเจอกับกลุ่ม house boat  จอดเรียงราย และมีแปรสภาพเป็นที่พักหลายลำ Vita Nova เป็นหนึ่งในนั้น




สภาพห้องนอนภายในเรือค่อนข้างคับแคบเล็กน้อย เตียงขนาดพอดีตัวตั้งชิดติดริมผนังแบบที่เรียกว่า bunk bed ภายในห้องแต่ละห้องจะมีอ่างล้างหน้า แต่ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม คับแคบเช่นกัน แต่สะดวกสบายในระดับหนึ่ง

ที่พักจะอยู่ใต้ท้องเรือด้านล่าง.... อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ลมแรงมาก ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงลมพัดตึง ตึง ตึง เรือจะโยกไปมา... ให้อารมณ์การนอนที่แผกแปลกไปอีกแบบ

ส่วนที่ดีที่สุดของที่พักแห่งนี้คือเจ้าหน้าที่.... คนอัมสเตอร์ดัม เจอกี่คน กี่คน น่ารักไปหมด...ฉันยกให้คนที่นี่ friendly เป็นมิตรที่สุดในยุโรปเลยเชียว.... ตัวใหญ่ แต่ใจดี  บริเวณชั้นหนึ่งของเรือเป็นพื้นที่่ส่วนกลาง เป็นบริเวณสำหรับนั่ง hang พูดคุย และเป็นที่กินอาหารเช้า.... หากจะซื้อหาอะไรมาทานบนเรือ เจ้าหน้าที่พร้อมจะหยิบ จานชาม ออกมาให้ใช้งาน แถมไม่ต้องล้างอีกด้วย... และไม่ต้องเกรงใจ ถึงเสนอตัว ผู้ดูแลก็ไม่ชอบอยู่ดี  เพราะที่นี่มีเครื่องล้างจาน  เขามั่นใจของเขาว่า เครื่องของเขาล้างสะอาดกว่าเราล้างกันเอง ฉนั้น ที่ต้องทำ แค่วางทิ้งไว้เป็นที่เป็นทางเท่านั้น.... เจ้าหน้าที่จะจัดการเอง

อาหารเช้าที่นี่อร่อยมาก..... ที่พลาดไม่ได้คือชีส... ก็ประเทศนี้เป็นเมืองแห่งชีส..... กินเข้าไป ชีสที่นี่อร่อยจริง ๆ




เห็นภาพด้านบนที่อวดมั้ย... บอกแล้วว่า ที่พักราคาย่อมเยาว์ก็จริง.... แต่อาหารเช้า อร่อยมาก....

ภาพข้างบนคือดาดฟ้าของเรือ.... ช่วงที่ไปเป็นช่วงอากาศยังหนาวเย็น และลมแรงมาก... เลยไม่มีใครใช้บริการ....


ภาพข้างบนเป็นบรรยากาศบรรดาเรือ boat house ทั้งหลายที่จอดตาม Pier ต่าง ๆ 


และระหว่างทางเดินทาง Central Station ไปยังที่พัก จะได้เห็นภาพบรรยากาศสวย ๆ ตาที่เห็นด้านล่าง.... แค่นี้ก็คุ้มแล้ว















Hostel อื่น ที่ถูกใจ
Hostel in Cesky Krumlov
Hostel in Wienna
The House Hostel in Sokcho
K's House Kyoto

4 เมษายน 2557

K's House Kyoto

K's House Kyoto

ฉันชอบที่พักที่นี่ มีห้องพักหลายประเภทให้เลือกพัก ทั้งห้องพักเดี่ยว ห้องพักรวม รวมแบบชายหญิงปนกัน หรือจะเป็นห้องรวมเฉพาะชาย หรือเฉพาะหญิงมีให้เลือก

ทำเลที่ตั้งของ K' House นั้นดีมาก ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟประจำเมือง


สะดวกทั้งการเดินทางไปต่างเมือง และเดินทางเที่ยวภายในเกียวโตเอง

ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านเลือกที่พักแบบห้องรวมชายหญิง สี่เตียง..... ถึงจะเป็นการพักรวม แต่สะดวกสะบายทีเดียว เพราะการพัก hostel แบบนี้  ห้องนอนจะใช้นอนกันเพียงอย่างเดียว การนั่งพักผ่อน พูดคุย จะทำกันตรงพื้นทีส่วนกลาง ซึ่ง K's house มีพื้นที่กว้างขวาง มีมุมต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวเลือกพื้นที่กันเอง โดยไม่แออัด นี่นับเป็นจุดเด่นของ K'house  ที่บรรยากาศคล้าย hostel ในยุโรปมาก นั่นคือเป็นแหล่งรวมบรรดา backpack นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน...

ห้องน้ำ แม้จะเป็นห้องน้ำรวม แต่มีจำนวนมาก และสะอาดสะอ้าน.... นักท่องเที่ยวสวนกันให้คึก ทั้งเอเชีย ทั้งฝรั่ง... ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนบรรยากาศกลับไปเป็นเด็กหอ  ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อน backpacker จากที่ต่าง ๆ

ส่วนที่ดีอีกอย่างหนึ่งของ K house  คือ ห้องครัว ห้องทานอาหารดีมาก อุปกรณ์ห้องครัวพร้อมพลัน ทั้งยังเตรียมเครื่องปรุงพื้นฐานไว้ให้ด้วย เช่นน้ำมันพืช ซอสต่าง ๆ ที่ผู้มาเข้าพักหยิบใช้ได้เลย  ความที่ห้องครัวใหญ่กว้าง จึงไม่แออัด ทั้งตลอดระยะเวลาที่พักที่นี่ ไม่เคยต้องต่อคิวใช้ห้องครัวสักครั้ง

กาแฟ ชา มีพร้อม ให้บริการฟรี หากอยากช่วยค่าเครื่องดื่มดังกล่าว.... มี box ให้หยอดเงินอยู่ใกล้ ๆ

Wifi ฟรี.... และเร็วมาก

มี locker จำนวนมาก ให้เก็บของ แต่เจ้าตัวจะต้องเตรียมที่ล็อกมาเอง  นั่นคือรับผิดชอบสมบัติตัวเอง





บรรยากาศภายในที่ัพัก... พบว่า ถ่ายรูปใน hostel น้อยมาก...



ภายในห้องพัก... ถึงจะมีสี่เตียง แต่ไม่กวนกันเลย  สาวฝรั่งที่เที่ยวเดียว นอนเร็วมาก จะเข้าห้องนอนและหลับก่อนใคร ก่อนจะตามด้วยฉันกับเพื่อนร่วมบ้าน ที่ดึกปกติ และหนุ่มคนสุดท้าย ที่จะเข้ามาในห้องเงียบ ๆ โน่น ตี 1 ตี 2 ได้.... ทุกคนเมื่อเข้าหัองพักจะไม่มีการส่งเสียงดัง รบกวนคนอื่น

Hostel อื่น ที่ถูกใจ
Hostel in Cesky Krumlov
Hostel in Wienna
The House Hostel in Sokcho


2 เมษายน 2557

ที่พัก The House Hostel in Sokcho

The House Hostel in Sokcho @ South Korea เป็นที่พักอีกแห่งหนึ่งที่ชอบมาก  ๆ ตั้งอยู่ในเมือง Sokcho ซึ่งเป็นเมืองที่ติดทั้งทะเลและขุนเขา สถานที่ตั้งต้นสำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติโซรัคซาน

สถานที่ตั้งของ Hostel นั้นดีเยี่ยม ใกล้กับสถานีรถประจำเมือง ทั้งปากซอยทางเข้าที่พักยังมีป้ายรถประจำทาง ที่สามารถมาขึ้นรถประจำทางไปยังอุทยานแห่งชาติโซรัคซานได้โดยตรง นอกจากนี้ยังใกล้กับทะเล เย็น ๆ ออกมาเดินเล่นบนสะพานปูนยาวเหยียดที่ยื่นเข้าไปในเขตทะเล ก่อนไปสิ้นสุดที่ประภาคารได้ และยังไม่ไกลจากตลาดปลาประจำเมือง... ของกินเพี้ยบ ถูกทั้งปาก ถูกทั้งราคา

ราคาที่พักนั้นกินคุณภาพ ห้องสำหรับสองคนประมาณ 1,400 - 1,500 บาท....รวมอาหารเช้า แม้จะเป็นแค่คอร์นเฟค ขนมปัง ชา กาแฟ แต่นับว่าคุ้ม

ผู้จัดการอัธยาศัยดี  เป็นที่พักที่ถูกใจที่หนึ่งเลย

ด้านหน้าที่พัก

เคาน์เตอร์ด้านในต้อนรับแขกที่มาพัก... ตกแต่งได้น่ารักมาก

ระเบียงด้านนอก ทำเป็นระเบียงกว้างสองชั้นอีกต่างหาก...นั่งแฮงก์ยาวได้เลย แอบเห็นของหลายชิ้นมาจาก IKEAที่ใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของดีไซน์สวย ๆ ได้

ระเบียงสองชั้น จะขึ้นไปนั่งด้านบนก็ได้

บรรยากาศในมุมกว้าง

ห้องอาหาร มีเตาปิ้งขนมปัง เครื่องต้มกาแฟ จาน ชาม ถ้วย พร้อมให้ใช้งาน  ผู้เข้าพัก ต้องช่วยตนเองทานเสร็จต้องล้างเก็บให้เรียบร้อย มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตั้งไว้ให้ใช้งานด้านหนึ่ง.... แต่เดี๋ยวนี้ มุมอินเตอร์เน็ตไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน เพราะนักเดินทางแต่ละคนมี ipad
มีมือถือส่วนตัวกันทั้งนั้น


ลองเข้าไปตรวจสอบคะแนนที่นักเดินทางเทคะแนนให้ที่พักแห่งนี้ ที่ hostelworld  เทคะแนนกันให้ถึง 94% rating เลยเชียว

Hostel อื่น ที่ถูกใจ
Hostel in Cesky Krumlov
Hostel in Wienna
K's House Kyoto

24 มกราคม 2557

พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ

พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ.... ตีพิมพ์ใน กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์

ในบรรดาจิตกรเอกของโลก บุคคลที่ฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดคงต้องยกให้ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent Van Gogh) จิตรกรชาวฮอลแลนด์ มาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยภาพวาดตัวเองของเขา ปรากฏตามสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ให้เห็นบ่อยครั้งตั้งแต่เด็กยันโตจนคุ้นชินกับภาพใบหน้าชายหนุ่มที่เกิดจากฝีแปรงหนาหนัก และเส้นสีฉูดฉาด แปลกตาแต่นั่นทำให้จดจำได้อย่างแม่นยำ

ชีวิตการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะเองฉูดฉาด ไม่ต่างจากเส้นสีที่ใช้ 

ชีวิตรักที่ล้มเหลว

ขายภาพเขียนที่วาดไว้ราว 900 ภาพ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เพียงภาพเดียว 

แตกคอกับเพื่อนสนิท

มีปัญหาทางจิต

เฉือนหูตัวเองทิ้งแล้วยังวาดภาพใบหน้าตนเองขณะที่ยังมีผ้าพันแผลพันตรงใบหูได้อย่างสงบนิ่ง.... 

จบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย

เมื่อมีโอกาส ฉันกับบรรดาเพื่อนร่วมทางจึงนั่งรถรางจากสถานีรถไฟกลางเมืองอัมสเตอร์ดัม ตรงไปยัง พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ (Vangohg Museum) เพื่อนคนหนึ่งหยิบมือถือที่ได้ดาวน์โหลดแผนที่เมืองอัมสเตอร์ดัมเก็บไว้ขึ้นมาเปิดใช้งานระบบนำทาง 

การมองจุดภาพตนเองที่ค่อยๆ เคลื่อน ตึ่ด ตึ่ด ตึ่ด ไปบนแผนที่บนจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้ความรู้สึกสนุกและช่วยให้การเดินทางง่ายขึ้นแยะเชียว ไม่ต้องคอยกังวล คอยยื่นหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูชื่อสถานที่ว่าถึงที่หมายหรือยัง

ด้านหน้าตึกพิพิธภัณฑ์ แวนโกะ

อาคารพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะที่อยู่เบื้องหน้าเป็นอาคารสไตล์โมเดิร์น เป็นสถานที่จัดแสดงผลงานของแวนโกะและเพื่อนศิลปินร่วมสมัยเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นงานที่แวนโก๊ะและน้องชายที่เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินของเขาได้สะสมไว้

การจัดวางงานแสดง ทำได้อย่างน่าสนใจมากๆ กระทั่งคนที่ไม่ได้เรียนมาทางศิลปะอย่างฉัน ยังเห็นถึงพัฒนาการทางด้านการวาดภาพของแวนโก๊ะอย่างชัดเจน

ผลงานช่วงแรกของแวนโก๊ะเป็นภาพเขียนผู้คน โดยเฉพาะภาพใบหน้าชายหนุ่ม-หญิงสาวที่เป็นชาวไร่-ชาวนาที่มีรูปหน้าหยาบกร้าน สีสันที่ใช้นั้นทึมทึบ ขัดแย้งกับสมัยนิยมตอนนั้น ที่เกิดขบวนการศิลปะใหม่ที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ปารีส เรียกว่า Impressionism ซึ่งศิลปินจะใช้เส้นสีที่หนาและสว่าง



ภาพ Head of a Woman วาดเมื่อปี ค.ศ.1885

ภาพ Potato Eater วาดเมื่อปี ค.ศ.1885

เมื่อแวนโก๊ะย้ายไปอยู่ที่ปารีส งานของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง เขาได้เห็นวิธีการใช้เส้นสีที่สว่างสดใสของเพื่อนศิลปินกลุ่ม Impressionism

“What is required in art nowadays is something very much alive, very strong in color, very much intensified”

นั่นเป็นข้อความที่แวนโก๊ะเขียนไว้

แวนโก๊ะเริ่มฝึกใช้สีที่สดใส เขาไม่มีเงินจ้างคนมาเป็นแบบวาดรูป จึงใช้วิธีการวาดรูปตนเองแทน... นั่นทำให้ ใบหน้าของแวนโก๊ะกลายเป็นใบหน้าหนึ่งที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี

ภาพเขียนรูปตัวเองแรกๆ ของเขายังเป็นโทนสีทึม นั่นคือ 'สีน้ำตาลเทา' ก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็น สีเหลือง แดง เขียว และ ฟ้า ในที่สุด สีสดๆ ป้ายตวัดอย่างหยาบๆ ...นี่แหละลักษณะของแวนโก๊ะเขาล่ะ ในที่สุดเขาก็ค้นพบเทคนิคเฉพาะของตนเอง




ภาพ Self- Protrait ปี ค.ศ.1887

ภาพ Self-portrait as a painter ปี ค.ศ. 1888

ภาพ Self-Protrait with Felt Hat ปี ค.ศ. 1888

แวนโก๊ะเรียนรู้เทคนิคการใช้สีจากศิลปินกลุ่ม Impressionism แต่สิ่งที่สื่อออกมานั้นแตกต่างกัน

ศิลปินกลุ่ม Impressionism ใช้สีสดและฝีแปรงที่สะบัดอย่างรวดเร็ว เพื่อจับอารมณ์แสงสีธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกนาที แต่สำหรับแวนโก๊ะเขาใช้สีสดจัด เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่เพื่อสื่อถึงบรรยากาศของสีแสงที่เห็น และนั่นทำให้งานของเขาถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Post-Impressionism ที่เป็นขบวนการต่อยอดจากกลุ่ม Impressionism

งานของแวนโก๊ะและเพื่อนศิลปินในยุคสมัยเดียวกันที่แสดงภายในพิพิธภัณฑ์ ส่วนใหญ่ใช้สีสด และฝีแปรงที่สะบัดหนา แต่ฉันรู้สึกของฉันว่า ฝีแปรงของแวนโก๊ะนั้นเข้มข้น และปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนจนสัมผัสได้ โดยเฉพาะงานในช่วงหลังๆ

ฉันยืนมองภาพเขียนที่แสดงบนผนังห่างๆ แล้วเล่นเกมกับสายตาตนเอง ภาพข้างหน้า เป็นผลงานของแวนโก๊ะใช่หรือไม่

ใช่...
ไม่ใช่...

ฉันเล่นเกมส่วนตัวนี้ และพบว่าฉันทายผิดเพียงภาพเดียวเท่านั้น ฝีแปรงที่เด่นชัด อารมณ์ที่สื่อออกมาชัดเจน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแวนโก๊ะจึงกลายเป็นหนึ่งในจิตรกรเอกของโลกที่ผลงานเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และราคาแพงระยับ

ที่ชวนแปลกใจ คือการได้เห็นงานแสดง ภาพพิมพ์ญี่ปุ่น ภายในพิพิธภัณฑ์ มีไม่น้อยเชียวล่ะ!!

แถมภาพเขียนหลายภาพของแวนโก๊ะเองวาดเลียนแบบภาพพิมพ์เหล่านั้นด้วยซ้ำ

เมื่ออ่านรายละเอียดคำอธิบาย จึงรู้ว่า 'ศิลปะภาพพิมพ์ของญี่ปุ่น' ที่มีการใช้เส้นโค้ง พื้นผิวที่เป็นลาย การใช้สีสันสดใส ความราบของภาพเป็นที่นิยม และมีอิทธิพลต่อศิลปินในยุคสมัยนั้น เป็นเรื่องที่ไม่รู้มาก่อนจริงๆ

นอกจาก 'ภาพพิมพ์ญี่ปุ่น' แล้ว ยังมีการแสดง ภาพพิมพ์ศิลปะบบอาร์ต นูโว (Art Nouveau) ซึ่งเป็นงานศิลปะที่เน้นการใช้เส้นโค้งที่พลิ้วไหว อ่อนช้อย ซึ่งศิลปินในกลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากงานภาพพิมพ์ญี่ปุ่นเช่นกัน

ศิลปินอีกคนหนึ่งที่โด่งดังไม่แพ้กัน และมีภาพเขียนแสดงภายในพิพิธภัณฑ์อยู่หลายภาพได้แก่ โคลัต โมเนต์ (Claude Monet)

งานของโมเนต์ต่างจากแวนโก๊ะอย่างเห็นได้ชัด ภาพหวานกว่า และฝีแปรงเป็นเส้นหนาๆ แต้มเป็นจุดๆ

งานของศิลปินสะท้อนความเป็นตัวตนของศิลปินผู้นั้น ฉันรู้สึกอย่างนั้น

ตอนที่ฉันดูภาพเขียนของ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)ที่พิพิธภัณฑ์ อุฟฟิซซี่ (Uffizi Museum) ฉันรู้สึกของฉันว่า เขาเป็นคนอ่อนโยนและขี้เล่น

ตอนที่ฉันยืนดูภาพเขียนบนผนังเพดานของ มิเกลันเจโล บูโอนาร์โรติ (Michelangelo Buoarroti) ที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum) และประติมากรรมเดวิดอันโด่งดังของเขาที่เมืองฟลอเรนซ์ ฉันรู้สึกของฉันว่า เขาเป็นคนเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น เต็มไปด้วยพรสวรรค์ และพรแสวง ที่หาคนเทียบได้ยาก

โมเนต์ต้องเป็นคนหวาน หวานมากๆ แน่
สำหรับแวนโก๊ะ เป็นคนที่อ่อนโยน อ่อนไหว และมีอารมณ์รุนแรง 
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกและตีความจากภาพเขียนของพวกเขแล้วฉันก็มาถึงภาพเขียนที่น่าจะโด่งดังเป็นลำดับต้น ๆ ของแวนโก๊ะ ภาพวาด 'ดอกทานตะวัน'


ภาพ Sunflowers ปี ค.ศ.1889

ภาพ Sunflowers หรือ ภาพวาด 'ดอกทานตะวัน' เป็นผลงานขณะที่เขาย้ายไปอยู่ที่เมือง Arles แคว้นโปรวองซ์ สีเหลืองสดจัด สมกับเป็นการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสีสัน และแสงแดดที่อบอุ่น

ภาพที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักดีเกือบทั้งหมดของแวนโก๊ะล้วนแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

แต่ที่หาไม่เจอคือภาพ Starry Night....ภาพที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่บทเพลงอันโด่งดัง วินเซนต์ (Starry ,Starry night) ของ Don McLean ปี ค.ศ.1971

ภาพ Starry Night นั้นแสดงอยู่ที่ Museum of Modern art เมืองนิวยอร์กอีกแล้ว....

การที่จะดูผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกสักคนหนึ่งให้ครบทั่วถ้วนนี่ต้องเดินทางให้ควั่กกันเลยทีเดีย

คงเหมือนภาพวาดของ เลโอนาร์โด ดา วินชี แทนที่จะได้เห็นครบๆ ในประเทศอิตาลี กลับมีไปโผล่แสดงที่พิพิธภัณฑ์ประเทศโน้นประเทศนี้ อีกหลายประเทศ

แต่แค่นี้ก็อิ่มแสนจะอิ่ม สีสดๆ ของฝีแปรงของแวนโก๊ะจับตาไปอีกนาน

ขณะเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ มีคนนำของที่ระลึกมาวางขาย.... มีภาพวาด Starry Night แขวนเจิดแจ่มให้เห็น... เหมือนจะบอกกันเป็นนัยๆ ว่า...ไม่ได้เห็นของจริง เห็นภาพพิมพ์เลียนแบบก็ยังดี อย่างน้อยก็แขวนตรงพื้นที่บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะเชียวนะ

เกร็ดน่ารู้
- Impressionism เป็นขบวนการทางศิลปะ เกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ.1850- 1875 โดยมีประเทศฝรั่งเศสเป็น
  ศูนย์กลางของกระแสความเคลื่อนไหว ขบวนการทางศิลปะนี้เกิดขึ้นโดยเป็นผลพวงการปฏิวัติฝรั่งเศส
  ในปีค.ศ. 1789 ซึ่งหลังจากการปฏิวัติได้เกิด 'ชนชั้นกลางกลุ่มใหม่' ขึ้นมาในสังคม ชนชั้นกลางกลุ่ม
  นี้ต้องการศิลปะที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ศิลปินกลุ่ม Impressionism ได้
  ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชนชาติกลางเหล่านี้ที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ และภาพทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงาม
  โดยการใช้สีสดและฝีแปรงที่สะบัดอย่างรวดเร็ว เพื่อจับอารมณ์แสงสีธรรมชาติที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
  ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเว
ลา
- Post-Impressionism เป็นขบวนการทางศิลปะที่เกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ.1875-1900 เป็นขบวนการที่ต่อ
  ต้าน Impressionism ขณะที่ศิลปินกลุ่ม Impressionismใช้สีสดจัดเพื่อสื่อถึงบรรยากาศของสีแสงที่
  เห็น แต่ ศิลปินกลุ่ม Post - Impressionism ใช้สีสดจัดเพื่อสื่อแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก
- ชีวิตการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 10 ปีเท่านั้น เแวนโก๊ะตัดสินใจเป็นศิลปินในปี
  ค.ศ.1880 เขาได้วาดภาพเขียน (painting) ไว้ราว 900 ภาพและวาดภาพวาด (drawing) ไว้ 1,100
  ภาพ ก่อนที่จะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในปี ค.ศ.1890 ขณะมีอายุเพียง 37 ปี
- พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ จัดแสดงงานภาพเขียนของแวนโก๊ะ จำนวน 200 ภาพ ภาพวาดราว 500 ภาพ
  สมุดสเกตซ์งานของเขา 4 เล่ม และจดหมายอีก 800 ฉบับ นอกจากนี้ยังแสดงงานภาพพิมพ์ญี่ปุ่น
  570 ภาพ งานภาพพิมพ์ประกอบนิตยสาร 1,500 ภาพ และงานภาพวาดของเพื่อนศิลปินอื่นๆ ของ
  แวนโก๊ะอีกจำนวนมาก

หมายเหตุ : ภาพประกอบส่วนหนึ่งนำมาจาก Wikipedia.org เนื่องจากภายในพิพิธภัณฑ์ไม่สามารถถ่ายภาพได้