5 กันยายน 2555

เกาะเชิงเชา หมู่บ้านชาวประมง และถ้ำโจรสลัด

เกาะเชิงเชา หมู่บ้านชาวประมง และถ้าโจรสลัด (ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจวันอาทิตย์)

เวลาพูดถึงฮ่องกง มักจินตนาการถึงพื้นที่ที่เป็นเกาะล้วน ๆ ทั้งที่จริง ๆ แล้วพื้นที่ของฮ่องกงนั้นมีทั้งส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ คาบสมุทร และเกาะ นั่นคงเป็นเพราะแรกเริ่มที่จีนแพ้สงครามฝิ่นต่อประเทศอังกฤษ เกาะฮ่องกงเป็นพื้นที่แรกที่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนขยายไปถึงส่วนที่เป็นคาบสมุทร และแผ่นดินใหญ่

ฮ่องกงนั้น มีพื้นที่ที่เป็นเกาะที่มีจำนวนมากถึง 263 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือเกาะลันเตา มีเกาะฮ่องกงใหญ่รองลงมาเป็นอันดับสอง จากนั้นจึงเป็นบรรดาเกาะเล็ก เกาะน้อย ที่กระจายอยู่รอบ ๆ และเกาะเชิงเชา (Cheung Chau) ที่ฉันเลือกที่จะไปเยือนในคราวนี้เป็นหนึ่งในนั้น

แรงดึงดูดใจนั้นเกิดจากการเห็นภาพเรือประมง วัด จักรยานจำนวนมากที่จอดเรียงราย และคำอธิบายประกอบโดยเฉพาะวลีที่ว่าอาหารทะเลราคาย่อมเยา และผู้คนสัญจรด้วยจักรยานล้วน ๆ นั่นทำให้ฉันตัดสินใจโดยพลัน ด้วยรู้สึกว่าน่าจะเป็นเกาะที่บรรยากาศน่ารัก เดินเที่ยวได้สนุก และมีอาหารอิ่มท้องให้เลือกบรรจุมากมาย

การเดินทางจากเกาะฮ่องกงสู่เกาะเชิงเชาเริ่มที่ท่าเรือเฟอรี่หมายเลข 5 ที่เซนทรัล เรือเฟอรี่ทั้งแบบธรรมดา และแบบเร็วเคลื่อนเข้าออกระหว่างสองเกาะทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง และด้วยเวลาประมาณ 35 นาทีด้วยเรือเร็ว ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านก็เดินทางถึงเกาะเชิงเชาแล้ว

เมื่อเคลื่อนไหลตามผู้คนออกมาหน้าท่าเรือ เจอเข้ากับทางถนนแคบ ๆ ถนนสายนั้นเรียงรายไปด้วยร้านรวง และนักท่องเที่ยวที่หนาแน่นเดินไหลผ่านแวะชมข้าวของที่วางอยู่หน้าร้าน ทั้งของกินคาวหวาน ของที่ระลึก และที่สำคัญเมื่อเป็นเกาะชาวประมง ย่อมมีอาหารทะเลตากแห้งวางขายเป็นแข่ง ๆ เรียงราย ขนาดเป็นคนใกล้ชิดถิ่นทะเลแท้ ๆ เห็นปลาตากแห้งตัวโต ๆ ของที่นี่ยังอดยืนมองไม่ได้ว่าช่างตัวโต น่ากินเสียจริง

จำนวนผู้คนที่เดินไหลผ่านไปมา มีทั้งที่ไหลไปทางด้านซ้าย และไหลไปทางด้านขวาจนทำให้ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเลือกไปทางไหนดี ยืนชั่งใจกันชั่วขณะก่อนตัดสินใจที่จะเลือกไปทางด้านขวา (ยืนหันหลังให้กับท่าเรือ) ตามจำนวนคนที่ดูจะหนาแน่นมากกว่าทางด้านซ้าย

เมื่อตัดสินใจไปทางด้านขวา เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เจอแผนที่ของตัวเกาะตรงข้างทาง เมื่อเข้าไปยืนดูจึงรู้ว่า เส้นทางที่เลือกนั้นนำไปสู่พื้นที่ทางด้านใต้ของตัวเกาะ

ช่วงต้นของเส้นทางยังคงหนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว และร้านค้า กระทั่งเริ่มเดินลึกเข้าไปด้านในตัวเกาะชักเริ่มสับสน เพราะกลายเป็นพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัย และนักท่องเที่ยวที่หนาแน่นเหมือนจะหายกันไปหมด ผู้คนที่ขี่จักรยานผ่านไปมา ลักษณะไม่เหมือนคนต่างถิ่น เหมือนเจ้าถิ่นเสียมากกว่า ทั้งป้ายชี้บอกทางก็ไม่มีเสียด้วย เริ่มหันมองซ้าย มองขวา...จะเอายังไงกันดี สุดท้ายตัดสินใจใหม่

เปลี่ยนเส้นทาง !!!

จากเส้นทางที่นำลึกเข้าไปในตัวเกาะ เปลี่ยนเป็นเส้นทางเลียบทะเล อย่างไรเสีย แม้เส้นทางนี้จะไม่นำไปสู่ที่ไหน ก็ยังได้เห็นภาพท้องทะเล ประสานไปกับท้องฟ้าตลอดเส้นทาง

เยี่ยมหน้าออกไปมองเส้นทางเลียบทะเล ทางถนนทอดยาวไปอีกไกล ทั้งแดดยังแผดจัดจ้า ทำให้ตัดสินใจโดยพลันอีกครั้ง เช่าจักรยานเถอะ..







ในเมื่อทั่วทั้งเกาะสัญจรกันด้วยจักรยาน การมองหาร้านเช่าจักรยานจึงง่ายดาย หมุนตัวเลือกมองหาได้ตามใจชอบ มีให้เลือกทั้งแบบขี่เดียว หรือจะเลือกแบบสามล้อ และทำเป็นเล่นไป มีคนเช่าจักรยานแบบสามล้อไม่น้อยเลย ตอนแรกก็สงสัยว่าพวกไหนกันจะที่เลือกเช่าจักรยานแบบนี้ กระทั่งสำรวจตัวเกาะไปได้สักระยะ จึงพอสรุปได้ว่า พวกที่เช่าสามล้อจะมีอยู่สองประเภท ประเภทมากันเป็นครอบครัวมีเด็ก ๆ หรือผู้สูงอายุมาด้วย อีกประเภทคือพวกหนุ่ม ๆ ขี่โชว์ความแข็งแรงโดยมีสาว ๆ นั่งหน้าแฉล้มอยู่ด้านหลัง หันไปมองเพื่อนร่วมบ้านที่ขี่จักรยานไปด้วยกัน เจ้าตัวทำหน้าประมาณว่า เธอพ้นวัยไปแล้ว ช่วยเหลือตัวเองเถอะ

เส้นทางเลียบทะเลไปสิ้นสุดตรงบริเวณปลายเกาะ จอดจักรยานปุ๊ป มีเส้นทางเดินชมธรรมชาตินำไปสู่บริเวณลานหินชายฝั่งทะเลที่เรียกว่า Reclining Rock วัด Tin Hau และถ้ำจางเป๋าจ่าย (Cheung Po Tsai Cave)

เส้นทางเดินนั้นร่มรื่น และไม่ชันจนเกินไป ทำให้เดินไปได้เรื่อย ๆ สบาย ๆ ทั้งยังเป็นการหลบแดดที่จัดจ้านจากด้านนอกไปด้วย บางช่วงระหว่างทางได้เห็นภาพโขดหินและน้ำทะเลที่ซัดสาดอยู่ด้านล่าง เสียดายที่เส้นทางเดินไปยัง Reclining Rock ที่เป็นลานหินชายฝั่งนั้นปิดซ่อมแซม ไม่เช่นนั้นแล้ว จากการมองจากมุมสูง เส้นทางเดินบนลานหิน Reclining Rock ให้บรรยากาศที่แปลกต่างจากการเดินเล่นบนหาดทราย

เดินเลยถัดไป เป็นถ้ำจางเป๋าจ๋าย ด้านหน้าบริเวณถ้ำนั้นมองเผิน ๆ เหมือนเป็นกองก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ที่ซ้อนทับกัน สะดุดให้สังเกตตรงอักษรจีนที่เขียนบนก้อนหิน และมีลูกศรชี้ลงมาที่โพรงเล็ก ๆ ด้านล่าง ที่มองสังเกตแทบไม่เห็น เมื่อลองไปยืนใกล้ๆ ชโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน โพรงนั้นชันดิ่งลงไปข้างล่าง มืดสนิท สภาพเหมือนโพรงตัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีช่องลึกเข้าไปด้านในจนกลายเป็นถ้ำได้เลย

สถานที่บางแห่งนั้นเหมือนไม่น่าสนใจ หากเรื่องราวแวดล้อมที่เกี่ยวข้องบางครั้งก็เปลี่ยนสถานที่แห่งนั้นให้น่าสนใจ และน่าสนุกขึ้นมาได้ในทันที ถ้ำจางเป๋าจ่ายเป็นสถานที่แบบนั้น

โพรงช่องที่เล็กและแคบ ไม่น่าสนใจ น่าสนใจขึ้นมาโดยพลัน เมื่อรู้ว่า ถ้ำแห่งนี้ตั้งชื่อตามโจรสลัดชื่อก้องแห่งน่านน้ำจีน ... จางป๋อจ่าย ที่มีชีวิตโลดโผน จากบุตรชายชาวประมง กลายเป็นหัวหน้าโจรสลัดที่มีเครือข่าย และขุมกำลังมหาศาล ออกปล้นสะดมภ์ไปทั่วน่านน้ำจีน จนเป็นที่ต้องการของทางการจนต้องส่งนายทัพมาปราบปรามอยู่เนือง ๆ จนท้ายสุด จางเป๋าจ่ายได้วางมือและเข้าสวามิภัรกดิ์กับทางการ และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายทัพเรือ และกลายเป็นตำนานในที่สุด

เรื่องของโจรสลัดจะมีสีสันย่อมต้องมีเรื่องของขุมสมบัติ ในเมื่อปล้นสดมภ์ได้เงินทองมาจำนวนมากมายขนาดนั้นแล้วทรัพย์สมบัติเหล่านั้นหายไปไหนหมด?? เรื่องราวของจางเป๋าจ่ายที่ร่ำลือเล่าขานกันต่อมา จึงมีสีสันของเรื่องนี้ผสมอยู่ด้วย... สมบัติถูกซ่อนไว้ที่ไหน ร่ำรือกันไป ค้นหากันไป ยังคงเป็นปริศนา และไม่มีใครพบเจอ ถ้ำจางเป๋าจ่ายที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในที่หมายหที่น่าสงสัยว่า จอมโจรสลัดชื่อก้องได้ซ่อนสมบัติไว้ในถ้ำแห่งนี้

โพรงเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหน้าเนี่ยนะ !!

เห็นแล้วไม่ได้สร้างความมั่นใจได้เลยว่ามีถ้ำอยู่ข้างใน

ขณะชั่งใจอยู่ มีครอบครัวชาวจีน พ่อ แม่ และลูกอายุประมาณ 7- 8 ขวบ ผ่านมาที่หน้าถ้ำพอดี ผู้เป็นพ่อ กับแม่มองสำรวจหน้าถ้ำก่อนที่ตัวพ่อจะเดินย้อนกลับไป และกลับมาอีกครั้งพร้อมคนนำทางที่บริเวณรอบเอวของคุณลุงแขวนไฟฉายขนาดเล็กเป็นพวง

ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านมองสังเกตอยู่ห่าง ๆ พอเห็นคนนำทางเอาไฟฉายออกมาแจกจ่าย และทั้งหมดเตรียมตัวที่จะเข้าไปสำรวจภายใน ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านรีบเสนอตัวเข้าไปร่วมขบวนด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับให้ร่วมกลุ่มด้วยเป็นอย่างดี

โพรงทางเข้าเล็กนิดเดียว ต้องค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปข้างในทีละคน และอย่าคาดหวังว่าจากโพรงเล็ก ๆ จะขยายขนาดกลายเป็นถ้ำกว้าง ๆ ให้เดินสบาย เพราะทางเข้าเป็นโพรงเล็กอย่างไร ด้านในก็ยังคงเป็นโพรงเล็กอยู่อย่างนั้น ทั้งยังลึกชันลงไปด้านล่างทำให้ต้องค่อย ๆ หย่อนตัวและแทรกตัวตามช่องแคบ ไปเรื่อย ๆ บางช่วงที่ชันมากมีการทำบันไดอำนวยความสะดวกไว้ให้... นี่มันเหมือน ฐานฝึกผจญภัยมากกว่าถ้ำโจรสลัดแล้ว

เมื่อลงไปลึกสุด ก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นข้างบนอีกครั้ง ประมาณ 5 นาที เราทั้งหมดก็โผล่ออกจากถ้ำมาขึ้นอีกทางหนึ่ง เมื่อ มองย้อนกลับไปที่บริเวณทางออก ปากทางออกจากถ้ำช่างเหมือนบริเวณทางเข้าไม่มีผิด โพรงเล็ก ๆ แอบซ่อนอยู่ใต้กองก้อนหินขนาดใหญ่ ถ้าไม่สังเกต หรือไม่มีอักษรจีนเขียนไว้ด้านบนจะไม่รู้เลย

สนุกมั้ย... สนุกดีนะ ไม่คิดว่าจากที่ขี่รถจักรยาน เดินเล่นชมวิวอยู่ดีๆ จะได้ลงไปปีนป่ายสำรวจถ้ำโจรสลัดเสียอย่างนั้น







สำรวจเกาะทางด้านทิศใต้จนสุดแล้ว ย้อนกลับมาด้านหน้าท่าเรืออีกครั้ง พักท้องกับร้านขายติ่มซำง่าย ๆ ริมทาง ที่ไปยืนเลือกหยิบเข่งร้อน ๆ ยกมานั่งกินที่โต๊ะได้เอง

จากนั้นย้อนไปสำรวจเส้นทางด้านบนบ้าง... ไปจบที่วัดปักไต (Pak Tai) วัดทางพุทธศาสนาที่เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของชาวเกาะ วันแห่งนี้แม้จะเป็นวัดขนาดเล็กที่ดูเรียบง่าย แต่มีความโอ่อ่า และสง่าแฝงอยู่ในที เริ่มจากทางเดินบันไดขึ้นสู่ตัววัดที่เป็นทางเดินกว้างสามช่องทาง โดยทางเดินตรงกลางนั้นนำไปสู่ตัววิหารที่มีรูปปั้นสิงห์จำนวน 4 ตัววางขนาบสองข้าง รูปปั้นสิงโตที่ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายเป็นสิงโตเพศผู้ สังเกตจากลูกบอลที่อยู่ใต้เท้า ขณะที่รูปปั้นสิงโตทางด้านขวาเป็นสิงโตเพศเมีย สังเกตจากที่มีลูกสิงโตอยู่ใต้เท้า

ภายในวิหารแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ตกแต่งอย่างปราณีต และเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าปั๊กไต เทพเจ้าแห่งท้องทะเลตามความเชื่อในลัทธิเต๋า ที่ชาวประมงเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่ช่วยให้การเดินเรือราบรื่น และจับปลาได้ทีละมากมาก สะท้อนถึงความเป็นชุมชนชาวประมง ที่ต้องทำมากินในท้องทะเล

ขณะเดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือเฟอรี่ แม้ร้านค้าแรกที่ต้อนรับเราขณะแรกเหยียบขึ้นมาบนเกาะจะเป็นป้ายอักษรตัว M ขนาดใหญ่สีเหลืองสดใส แต่ท้ายสุด วิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนก็ไม่ได้หนีหายไปไหน ขณะที่ขี่จักรยานเที่ยวเล่นบนเกาะยังคงเห็นชาวบ้านสวมใส่หมวกเฉพาะถิ่นที่คล้ายกับงอบบ้านเราแต่กลมมนกว่า และท้ายสุด การเดินทางของเราสองคนยังจบด้วยการไหว้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลตามความเชื่อของชุมชน





6 สิงหาคม 2555

เที่ยวเม็กซิโก ตอนสุดท้าย

บทส่งท้าย
  • เม็กซิโกเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรพูดภาษาสเปนมากที่สุดในโลก



  • เม็กซิโก ซิตี้เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ สูงถึง 7,500 ฟิต 
  • แม่น้ำริโอ แกรนเดพรมแดนธรรมชาติที่ขวางกั้นระหว่างประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา เป็นพรมแดนธรรมชาติที่มีชาวเม็กซิกันว่ายน้ำลักลอบเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฏหมายเป็นจำนวนมาก กระทั่งเกิดคำศัพท์ว่า wetbacks ขึ้น ใช้เรียกผู้ที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมายด้วยวิธีนี้ 
  • ความเชื่อสร้างเมือง และทำลายเมือง บริเวณที่เป็นที่ตั้งของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ เคยเป็นที่ตั้งของทะเลสาบ Texcoco มาก่อนกระทั่งชนเผ่าแอซเทค ได้อพยพ ละทิ้งถิ่นฐานดั้งเดิมจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือลงมายังทางทิศใต้ ตามความเชื่อเก่าแก่ ที่ว่าไว้ว่าพวกเขาจะต้องหาสถานที่สำหรับสร้างเมืองใหม่ และเมื่อมาถึงเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนทะเลสาบ Texcoco พวกเขาก็เห็นนกเหยี่ยวตัวหนึ่งคาบงูเกาะบนต้นกระบองเพชร ซึ่งเป็นภาพที่ตรงกับคำทำนายที่ กล่าวไว้ พวกเขาจึงได้สร้างเมืองขึ้นมาตรงบริเวณนั้น และภาพนกเหยี่ยวคาบงูเกาะบนต้นกระบองเพชรก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธงชาติเม็กซิโก เมืองใหม่ที่ชาวแอซเทคสร้างขึ้นมามีชื่อว่า Mexico -Tenochtitlan และเมือง Mexico- Tenochtitlan นี่เอง ได้กลายเป็นเมืองเม็กซิโก ซิตี้ในปัจจุบัน คำว่า Mexi นั้นมาจากคำว่า Mexitli หรือเทพเจ้าแห่งสงคราม ส่วนคำว่า co นั้นแปลว่าสถานที่ Mexico จึงหมายถึงสถานที่ของปวงชนแห่งเทพเจ้าสงคราม 
  • ความเชื่อก่อให้เกิดอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ แต่ความเชื่ออีกนั่นแหละที่ทำให้อาณาจักรของชาวแอซเทคล่มสลาย เมื่อนายทหารชาวสเปนนายหนึ่งชื่อว่า เฮอร์นาน คอร์เทซ ได้นำทหารจำนวนประมาณ 500 นาย มาเยือนเมืองแห่งนี้ กษัตริย์ของชาวแอซเทคเวลานั้นได้แก่ มองเตซูม่า ได้ให้การต้อนรับขับสู้นายเฮอร์นาน คอร์เทซอย่างดี ด้วยเชื่อว่านายเฮอร์นานเป็นเทพจ้า Quetzalcoatl กลับมายังเมืองตามคำทำนายเก่าแก่ เทพเจ้า Quetzalcoatl นั้นมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากเทพเจ้าองค์อื่น ตรงที่มีผิวพรรณขาว และเคราดก ซึ่งช่างละม้ายนายทหารชาวสเปนเสียเหลือเกิน และความเชื่อในเทพเจ้าและเทคโนโลยีของโลกสมัยใหม่นี่เอง ทำให้อาณาจักรของชาวแอซเทคล่มสลาย และถูกยึดครองโดยประเทศสเปนในเวลาต่อมา 
  • อิสรภาพไม่ใช่สิ่งที่ได้รับมาอย่างง่าย ๆ สเปนได้ยึดครองเม็กซิโกนานร่วม 300 ปี บาทหลวง Miguel hildalgo y Costilla จึงได้ประกาศอิสรภาพไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนอีกต่อไป เมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1810 หากต้องใช้เวลาต่อสู้นานร่วม 11 ปี จึงได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริงเมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1821 แปลกที่วันชาติของเม็กซิโกกลับไม่ใช่วันที่ 27 กันยายน กลับเป็นวันที่ 16 กันยายน 
  • ต้น Poinsettia หรือต้นคริสมาสต์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโก ต้นไม้นี้มีสีสันสดสวยสะดุดตา ชาวแอซเทครู้จักต้นไม้นี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ และเรียกต้นไม้นี้ว่า Cuetlayochitl 
  • ชาวแอซเทคไม่ได้ทิ้งร่องรอยความเชื่อ อารยธรรม และวัฒนธรรมไว้แค่ในประเทศเม็กซิโกเท่านั้น หากยังฝากร่องรอยไว้กับภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลกอีกด้วย คำว่า tomato มะเขือเทศ ที่เป็นที่รู้จักกันดี เป็นภาษาของชาวแอซเทค 
  • รถโฟลค์เต่ากำเนิดที่เยอรมัน แต่แก่เฒ่า ใช้ชีวิตบั้นปลายที่เม็กซิโก เผลอ ๆ อาจจะจบชีวิตที่เม็กซิโกด้วยซ้ำ นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 ยอดขายโฟลค์เต่าทั่วโลกมีจำนวนลดน้อยลง เว้นแต่ที่ประเทศเม็กซิโก และบราซิล และภายหลังปี ค.ศ. 1996 เหลือโรงงานผลิตชิ้นส่วนโฟลค์เต่าที่เมือง Puebla ประเทศเม็กซิโกที่เดียวเท่านั้น เหตุผลก็คือที่นี่รถโฟลค์เต่ายังคงขายดิบขายดีอยู่ ก็คิดเอาเองว่ารถเท็กซี่กว่า 70 % ที่แล่นเฉิดฉายในเม็กซิโก ซิตี้ ล้วนเป็นเต่าเขียวทั้งนั้น แต่ไม่มีอะไรที่แน่นอน ภาพรถโฟลค์เต่าสีเขียวที่ฉันเคยเห็นละลานตาในเม็กซิโก ซิตี้อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป เพราะกรมการขนส่งทางบกของเม็กซิโก ซิตี้ได้ออกกฏให้รถแท็กซี่ที่แล่นในตัวเมืองต้องมี 4 ประตู ข้อนี้รถโฟลค์เต่าสอบตกอย่างเห็น ๆ 
  • เม็กซิโกเผชิญภัยทางธรรมชาติแทบจะทุกรูปแบบ คลื่นยักษ์สึนามิตามชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ภูเขาไฟระเบิด และแผ่นดินไหวบริเวณภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ และสุดท้าย พายุฮอริเคนในมหาสมุทรแปซิฟิก อ่าวเม็กซิโก และชายฝั่งทะเลแคริบเบียน 

ข้อมูลทั่วไป

พื้นที่ : 761,600 ตารางไมล์ เป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกากลาง ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในลาตินอเมริกา และใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก

อาณาเขตติดต่อ : ทิศเหนือ ติดกับประเทศสหรัฐอเมริกา

ทิศใต้ติดกับประเทศกัวเตมาลา และเบลิซ

ทิศตะวันออกติดกับอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน

ทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าวแคลิเฟอร์เนีย

เมืองหลวง: เม็กซิโก ซิตี้

ภาษาราชการ : สเปน

ศาสนา : โรมันคาทอลิก 89% โปรเตสแตนท์ 6% อื่น ๆ 5%

เชื้อชาติ: เมสติโซ (ผิวขาวผสมอินเดียน) 60% อเมริกันอินเดียน 30 % คอเคเซียน 9% อื่น ๆ 1 %

หน่วยเงิน : เปโซ

เวลาต่างจากประเทศไทย ช้ากว่าประเทศไทย 13 ชั่วโมง


Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com

31 กรกฎาคม 2555

เที่ยวเม็กซิโก ตอนที่ 17

มอนเตร์เรย์ (Monterrey)

มอนเตร์เรย์เป็นเมืองอุตสาหกรรม และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของที่นี่

ภาพจาก en.wikipedia.org

ฉันกับยูลีไม่ได้สนใจเมืองนี้อะไรนักหนา แต่เพื่อนชาวเม็กซิกันที่ช่วยกันวาดเส้นทางเดินทางให้ฉันกับยูลี จะต้องลากให้เราผ่านเมืองนี้ก่อนถึงลาเรโดทุกที

“ก็มันใกล้ ๆ แวะดูหน่อยน่า” เสียงมักจะออกแนวโทน ๆ นี้

ฉันกับยูลีนั่งรถเดินทางจากเมืองซาคาเทคัสไปถึงเมืองมอนเตร์เรย์ย์เอาตีสองครึ่ง เดินวนเวียนสักครู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วรถบริษัทหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ หาซื้อตั๋วรถกลับไปลาเรโดให้ แต่กว่ารถจะออกก็เย็น ๆ โน่น เขาแนะนำให้เราใช้ตั๋วเข้าไปพักในห้องผู้โดยสาร VIP ที่มีการปิดเป็นสัดเป็นส่วน มียามยืนเฝ้าเข้มงวดตรวจคนเข้าออกตลอดเวลา ต้องเฉพาะผู้โดยสารที่มีตั๋วรถเท่านั้น ที่จะเข้าไปข้างในได้

เท่านี้ก็สบายแล้ว ห้องภายในกว้างขวาง ติดแอร์เย็นสบาย ทั้งมีผู้โดยสารน้อยมาก ฉันกับยูลีเลยนอนพักเอาแรงกันอย่างสบายใจ

รุ่งเช้า ฉันกับยูลีออกสำรวจตัวเมือง

มอนเตร์เรย์เป็นเมืองที่สกปรก… ฉันกับยูลีลงความเห็นตรงกัน คงเป็นเพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรม ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว จึงไม่มีการดูแลเรื่องนี้ แต่ที่น่าอิจฉามาก ๆ คือ ที่นี่มีรถไฟใต้ดินด้วยล่ะ…. โอ้โห…อเมซซิ่งเสียไม่มี… ไหนใครว่าพี่เม็กด้อยพอ ๆ กับบ้านเรา แถมบางคนเหยียดว่าด้อยกว่าประเทศเราอีก รู้ข้อมูลนี้แล้ว เปลี่ยนใจใหม่ได้นะ

ฉันกับยูลีเดินหาของกิน..กินแหลก…ทั้งร้านหรู ๆ ดี ๆ ในตัวเมือง และรถเข็นข้างทาง ประชดคำของมาร์ตินที่เตือนนักหนาว่า อย่ากินอาหารจากรถเข็นข้างทาง ท้องจะเสียได้… ถึงตอนนี้ฉันกับยูลีไม่สนแล้ว…. ก็เราจะกลับบ้านแล้วนี่นา ขอกินให้เต็มคราบ ให้ถึงเม็กซิโกจริง ๆ

คืนนั้น… ฉันกับยูลีนั่งรถตัวเบาหวิวจากมอนเตร์เรย์ ข้ามแม่น้ำริโอแกรนเด สีเขียวเข้ม กลับลาเรโด บ้านชั่วคราวที่อเมริกา และเพิ่งจะเฉลียวใจหลังจากส่งหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ที่ด่านฝั่งอเมริกาตรวจดู…. ฉันกับยูลีมองหน้าสบตากัน… เราสองคนเดินทางเข้าประเทศเม็กซิโกและกลับออกมาโดยที่ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่เม็กซิกันประทับตราหนังสือเดินทางให้… เพราะทั้งตอนเดินทางขาเข้าและขากลับออกมา ไม่มีเจ้าหน้าที่มาขอตรวจดูหนังสือเดินทางเราสองคนสักนายเดียว เออ… รอดไปได้ยังไงเนี่ย… ขอนินทาหน่อยเถอะ… มิน่าหนังฮอลลีวู้ดกี่เรื่อง ๆ ผู้ร้ายถึงได้ชอบข้ามแดนไปประเทศเม็กซิโกกันนัก สงสัยทั้งเข้าง่าย และคนใจดีนี่เอง


Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com

19 กรกฎาคม 2555

ดอกไม้... ทุกหนทุกแห่ง

ไม่ว่าจะไปที่ไหน... เห็นดอกไม้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายเก็บไว้ ภาพกระจัดกระจายหลายที่หลายทาง... ทั้งดอกไม้บางชนิดอยู่กันคนล่ะที่ คนละทาง ทว่าเหมือนกันอย่างน่าแปลกใจ


เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย

ดอกวัชพืช เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย

ไฮเดรนเยีย เมืองกาลิมปง ประเทศอินเดีย
ต้นวัชพืชภายในสวนอนุสรณ์สงคราม เมืองดาร์จีลิ่ง ประเทศอินเดีย คล้ายผีเสื้อราตรี ไม้ประดับบ้านเรา

ดอกวัชพืช ในสวนพฤษศาสตร์ ระหว่างทางไปเมืองเพลลิ่ง ประเทศอินเดีย
ระเบียงหลังที่พักในเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ ประเทศเชค  กระถางดอกไม้สีเหลือง ช่างเข้ากันกับเก้าอี้สีฟ้า
ดอกหญ้าริมทางเมืองเชสกี้ ครุมลอฟ ประเทศเชค
ดอกไม้ริมทางเมืองเซียน่า ประเทศอิตาลี
ดอกไม้ริมทางเมืองเซียน่า ประเทศอิตาลี
กุหลาบเลื้อย เกาะทอเซลโล ประเทศอิตาลี

ดอกไม้ริมทางบนเกาะทอเซลโล ประเทศอิตาลี มองเผิน ๆ คล้ายต้นแคฝรั่งที่เคยปลูก

พุ่มไม้เลื้อย กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ดอกไม้ริมทางถนน คาเมรอน ไฮแลนด์ ประเทศมาเลเซีย
ดอกไม้ใน penang hill forest เกาะปีนัง ประเทศเมาเลเซีย
โกตา คินาบาลู ประเทศมาเลเซีย
โกตา คินาบาลู ประเทศมาเลเซีย

ดอกบัวผุด โกตา คินาบาลู ประเทศมาเลเซีย
 โกตา คินาบาลู ประเทศมาเลเซีย
เกาะเชิงเชา ฮ่องกง
ดอกไม้ริมทางเท้า เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ดอกไม้ริมทางเท้า เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สีชมพูหวานเป็นที่สุด
ดอกไม้หน้าร้านขายของในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น

ต้นบีโกเนีย ดอยอ่างขาง เชียงใหม่ ประเทศไทย ปลูกที่บ้านไม่ยักออกดอกแบบนี้
ดอยอ่างขาง เชียงใหม่ ประเทศไทย
ดอกสาละลังกา สวน ร.2  อัมพวา ประเทศไทย

เดียงพลาโต เกาะสุราบายา  ประเทศอินโดนีเซีย
เดียงพลาโต เกาะสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย

เดียงพลาโต เกาะสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย
ไทเกอร์ฮิลล์ ดาร์จีลิ่ง ประเทศอินเดีย.... ดอกแบบเดียวกับที่เดียงพลาโต
ดอกไม้ที่เดียงพลาโต เกาะสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย

สวนเคอเคนฮอฟ อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
ทิวลิปที่เคอเคนฮอฟ อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ สวยสุด ๆ 
ดอกไม้อื่นในสวนคอเคนฮอฟ เนเธอร์แลนด์


ทิวลิปอีกแล้ว คอเคนฮอฟ เนเธอร์แลนด์

ดอกไม้ในสวนเคอเคนฮอฟ เนเธอร์แลนด์

ดอกไม้ในอุทยานทาโรโกะ ประเทศไต้หวัน


12 กรกฎาคม 2555

เที่ยวเม็กซิโก ตอนที่ 16


ซาคาเทคัส (Zacatecas)
                ซาคาเทคัสเป็นเมืองอาณานิคม และเมืองเหมืองแร่
บรรยากาศความเป็นเมืองเหมืองแร่กรุ่นทั่วตัวเมือง ฉันกับยูลีซื้อทัวร์เข้าไปชมเหมืองเก่า Mina El Eden ที่ต้องนั่งรถรางลงไปในอุโมงค์ระยะทางสั้น ๆ เพื่อชมสภาพภายใน
ถ้าเมืองอื่น ๆ ก่อนหน้านี้  เราเจอคนพื้นถิ่นที่น่ารัก ที่ซาคาเทคัสเรากลับถูกคอกับนักท่องเที่ยวด้วยกันมากกว่า นอกจาก Octavid แล้ว ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเมืองเอล ปาโซ ที่เจอกันขณะเข้าไปเที่ยวในเหมืองรอบเดียวกัน  ไม่รู้เป็นเพราะความเป็นคนเอเชียที่ดูตัวเล็ก ๆ หน้าอ่อนเยาว์ หรือไงไม่ทราบ ท่าทางพวกนี้เอ็นดูฉันกับยูลีจัง…. ชวนเราพูดคุยตลอดเวลา ทั้งเอื้อเฟื้อแปลคำอธิบายของคนนำทางท้องถิ่น ที่สาธยายความเป็นมาของเหมือง อีเดนให้เราฟังเป็นภาษาอังกฤษ


                ถึงแม้เหมืองจะไม่มีแร่ให้ขุดอีกต่อไป แต่ยังคงเป็นแหล่งทำเงินให้กับเมืองอยู่ดี คนงานในเหมืองเปลี่ยนกลายเป็นนักศึกษาที่มาทำอาชีพเป็นไกด์นำทาง  ล่อที่ลากเกวียนเปลี่ยนเป็นรถรางนำนักท่องเที่ยวเข้าไปชมด้านใน
ชื่อของเหมืองที่เพราะพริ้ง เป็นแหล่งสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศสเปน แต่สำหรับคนงานที่นี่แล้ว ที่นี่เป็นนรกดี ๆ นี่เอง ในสมัยยุคอาณานิคม เป็นเรื่องธรรมดาที่จะส่งเด็กอายุสิบขวบลงไปทำงานข้างใน และคนงานเหล่านี้มีอายุได้ไม่เกิน 40 ปี
เส้นทางออกจากเหมืองมีรถกระเช้า Teleferico นำนักท่องเที่ยวไปอีกเนินเขาด้านหนึ่ง

บริเวณนั้น มีโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และรูปปั้นคนสำคัญ แต่เวลานั้น กวาดตามองไปรอบ ๆ ฉันกับยูลีตาพร่างพรายไปด้วยหินสวย ๆ ที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า มาร้อยขายเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือเต็มไปหมด ทั้งยังมีเครื่องประดับที่ทำจากเงินและทองแดงอีก สมกับเป็นเมืองเหมืองแร่จริง ๆ   ฉันกับยูลีเลยละความสนใจจากสถานที่เที่ยว หันไปชอบปิ้งตามประสาสาว ๆแทน ราคาเครื่องประดับใส่เล่นเหล่านี้ถูกแสนถูก จนฉันกับยูลีขนซื้อกันมาคนละหลายเส้น
นอกจากเครื่องประดับสวย ๆ ในราคาย่อมเยาชวนช้อปแล้ว ฉันยังไปติดใจงานฝีมือพื้นบ้านประเภทหนึ่งเข้า ถ้วยลูกปัด !!! ให้ตายเถอะ เจ้าลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ที่เรียงรายประดิดประดอยเป็นลวดลวยต่าง ๆ  ด้านในถ้วยที่วางโชว์บนขาตั้ง แบบที่ใช้วางจานโชว์ สีสันจัดจ้าน สดสะดุดตากระทั่งมองผ่านไปแล้ว ต้องตวัดตากลับมามองอีกครั้ง ให้ตายเถอะ… คนเม็กซิกันนี่เวลาทำอะไรเขาใช้สีสันดุเดือดกันดีจริง ๆ
แว่บแรกที่เห็นสะดุดตา จนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง ต้องถามตัวเอง อะไรหว่า? ก่อนสาวเท้าก้าวเข้าไปประชิดก้มดูใกล้ ๆ  ตอนแรกฉันคิดว่าเจ้างานชิ้นนี้คงจะทำจากกะลามะพร้าวผ่าซีก แล้วนำลูกปัดมาประดับตกแต่ง แต่ครั้นหยิบขึ้นมาดูต้องเปลี่ยนใจ 
ไม่ใช่… กะลามะพร้าวจะไม่บาง เรียบ และลื่นแบบนี้ นอกจากนี้เมื่อพลิกกลับดูด้านหลัง ไม่มีรอยบุ๋มแบบที่กะลาควรต้องมี
น้ำเต้า… ถ้วยลูกปัดนี้ทำจากน้ำเต้า และเป็นงานฝีมือพื้นบ้านของชาวอินเดียนเผ่า Huichol  นั่นทำให้ฉันนึกถึงผลน้ำเต้าแห้งที่ชาวเขาบ้านเราเอามาประดับตกแต่งแขวนขายนักท่องเที่ยวทั้งผล ฉันเองยังซื้อมาแขวนเล่นในห้องนอนอยู่หลายใบ

ชาวอินเดียนเผ่า Huichol ใช้ถ้วยลูกปัดในพิธีกรรมติดต่อกับพระเจ้า โดยเชื่อว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงดื่มน้ำจากถ้วยน้ำเต้านี้แล้ว จะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาสวดอ้วนวอนมากยิ่งขึ้น

ภาพจาก http://www.timbersresorts.com

ฉันว่างานศิลปะพื้นบ้านมักมีรูปแบบ และใช้วัสดุที่คล้ายคลึง ฉันเคยซื้อเสื้อพื้นเมืองจากเม็กซิโกไปฝากเพื่อนที่เมืองไทย ไม่ยักมีใครคิดว่าของชิ้นนั้นข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งไกล กลับนึกกันว่าฉันซื้อมาจากเชียงใหม่ไปเสียฉิบ
เจ้าย่ามใบแดงที่ฉันหอบหิ้วจากเมืองไทยก็เช่นกัน สะพายไปเรียนที่แคมปัส ไม่ยักเรียกความสนใจจากเพื่อนฝรั่ง มีแต่นักเรียนจีนเข้ามาถามไถ่ว่า ฉันไปหาซื้อมาจากไหน เพราะเหมือนของชาวเขาที่บ้านเขาเป๊ะเลย
สุดท้าย ฉันเดินเข้า ๆ ออก ๆ ตามร้านขายของที่ระลึกอยู่หลายร้าน กว่าจะได้ถ้วยลูกปัดถูกใจลายดอกไม้สีสวย ขนาดกะทัดรัด ในราคาไม่สะเทือนกระเป๋ามาเป็นที่ระลึก 1 ชิ้น ยูลีไม่ยักจะสนใจ เจ้าหล่อนว่าถูกใจกับสร้อยคอ กับสร้อยข้อมือที่ทำจากหินสีสวย ๆ มากกว่า
หลังจากกลับไปที่อเมริกาแล้ว ใครถามไถ่เราเกี่ยวกับเมืองเมืองนี้ ว่าเป็นยังไงบ้าง เราได้แต่ยิ้มกระเป๋าแฟ้บ พูดอ้อมแอ้มว่าเหมาะสำหรับชอบปิ้ง (แฮะ แฮะ)


Copyright ©2011 kanakacha.blogspot.com