ทาโรโกะ (Taroko) ต้อนรับฉันด้วยสายฝนพรำ
รถบัสคันใหญ่ได้เวียนรับผู้โดยสารจากสถานีรถไฟ มุ่งตรงเข้าสู่เขตอุทยานทาโรโกะ ทางถนนธรรมดาได้กลายเป็นเส้นทางเลาะเลียบไปตามไหล่ผา และทะลุผ่านขุนเขา ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ขณะที่รถแล่นอยู่ภายในอุโมงค์ ความมืดและแสงสว่างจากหลอดไฟเป็นเสมือนผ้าคลุมที่คอยเปลี่ยนฉากที่จะปรากฏขึ้นที่ปลายอุโมงค์อีกด้าน ภาพที่ปรากฏผ่านหยดน้ำบนแผ่นกระจกดูคลุมเครือ ประสมกับหมอกฝนที่แผ่ปกคลุมยอดทิวเขา ทำให้คล้ายเข้าสู่ดินแดนที่ล่องลอย แต่แล้ว... โลกก็พลันดิ่งลงสู่เบื้องล่าง เขาที่สูงเสียด ปรากฏสายน้ำไหลลดเลี้ยวตรงกลาง กัดเซาะโตรกเขาทั้งสองด้านเผยให้เห็นเนื้อหินอ่อนที่อวดลวดลาย
ฉันแนบหน้าติดกับกระจก... นี่เป็นงานเสกสรรจากธรรมชาติที่แปลกตาและงดงามที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน...
ทาโรโกะ..... ชื่อแปลก...ฟังเป็นญี่ปุ่นมากกว่าจีน และก็เป็นภาษาญี่ปุ่นจริง ๆ เสียด้วย ชาวญี่ปุ่นเป็นคนตั้งชื่อสถานที่นี้ช่วงที่มีอำนาจปกครองเหนือดินแดน
จากสถานีรถไฟในเมือง เข้าสู่เขตอุทยาน และไปถึงที่หมายสุดท้ายคือเมืองเทียนเสียง (Tiensieng) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ได้ทึ่งไปกับความสวยงามของสถานที่ และความเพียรพยายามของมนุษย์ที่ได้สร้างถนนผ่านเข้ามาในหุบผาแห่งนี้ และก่อนที่ฉันจะลงจากรถ ยกมือขึ้นมองนาฬิกาอีกครั้ง เพิ่งจะบ่ายโมงเท่านั้นเอง... นั่นทำให้ตระหนักถึงความน่าทึ่งของการเดินทางอีกครั้ง ว่าแท้จริงในวันหนึ่ง ๆ เราสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย นี่แค่ประมาณแค่ครึ่งวันเท่านั้น เราสองคนเดินทางได้ระยะทางตั้งยาวไกล เริ่มจากการเดินทางออกจากที่พักในเมืองไทเป สู่สถานีรถไฟ ระหว่างทางยัง ค้นพบร้านขนมโมจิที่ทำสดใหม่ หอมอร่อย รสขนมมีให้เลือกตั้งแต่ชาเขียว ถั่วลิสง สตรอเบอรี่ งาดำ ถั่วเหลือง แค่ได้ทดลองชิมชิ้นแรก ฉันรู้เลยว่า ก่อนกลับบ้าน ฉันจะต้องแวะกลับมาซื้อขนมที่นี่อีกครั้ง
จากนั้นเรานั่งรถไฟ โดยมีจุดหมายปลายทางที่เมืองฮัวเหลียน (Hualien) ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออก และขึ้นรถ Shuttle Bus ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวฟรีจากสถานีรถไฟเมืองฮัวเหลียน เวียนไปตามจุดท่องเที่ยวสำคัญของอุทยานกระทั่งถึงที่หมายปลายทางสุดท้ายคือเมืองเทียนเสียง
และราวกับทาโรโกะเอ็นดูเราสองคน ฝนที่พรำลงมาตลอดทางมาเว้นช่วงเอาเมื่อรถถึงที่หมายนี่เอง ช่วยให้เราสองคนสามารถเดินลากระเป๋าจากสถานีรถ เดินไปตามทางที่สูงชัน เพื่อตรงไปยังที่พักได้โดยไม่เปียกปอน
ระหว่างทางผ่านร้านค้าตรงแถวสถานีรถ แอบเหลือบเห็นของกินบางอย่าง วางย่างบนเตาปิ้ง.... หน้าตาเหมือนไส้กรอกอีสานเปี๊ยบ... กำลังหิวพอดี เดี๋ยวเถอะ.. ขอขึ้นไป check in เข้าที่พักให้เรียบร้อย แล้วจะย้อนกลับลงมา.. เห็นทางเดินขึ้นเนินเหมือนไม่ชันอะไรมาก... แต่ทำเอาเหนื่อยหมือนกัน แต่กำลังใจมี... ไส้กรอกอีกสานนั่นไง... นั่นเป็นเรื่องอาหารใส่ท้อง แต่อาหารตาก็ชวนให้หายเหนื่อยเหมือนกัน มีผีเสื้อบินว่อนต้อนรับเราสองคนไปตลอดทางเดินขึ้นสู่ที่พัก แล้วไม่ใช่ผีเสื้อตัวเล็ก ๆ แต่เป็นผีเสื้อตัวโตบิ๊กเบิ้ม สีสันบาดตา...
ทันทีที่ถึงที่พัก กระทั่งถึงวันถัดมา ทาโรโกะชุ่มฉ่ำด้วยสายฝนตลอดเวลา แรกคิดว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเที่ยวชมรอบ ๆ อุทยาน แต่คนอื่น ๆ ไม่ยักเดือดร้อนพากันเดินลุยฝนถือร่มออกไป อย่างนั้นจะให้เรานั่งเฉย ๆมองข้างนอกผ่านม่านฝน... ไม่มีทาง คนอื่นไป เราก็ไปบ้างสิ
เริ่มต้นจากสำรวจพื้นที่ใกล้ ๆ บริเวณที่พักกันก่อน เดินย้อนกลับไปที่สถานีรถ เพิ่งจะสังเกตว่ามีที่ทำการไปรษณีย์ตั้งอยู่ ด้านหน้าตึกประดับเป็นรูปโมเสกชนเผ่าพื้นถิ่น สดใสแตะตาดี ใครชอบการ stamp ตราประทับเก็บไว้เป็นที่ระลึก เข้าไปได้เลย... ด้านใน มีตราประทับวางเตรียมพร้อมให้นักเที่ยวเที่ยวได้ stamp ตรา เก็บไว้ในบันทึกความทรงจำ
จากนั้นเดินข้ามสะพานที่มีราวกั้นสีเหลืองสดไปอีกฝั่ง เป็นที่ตั้งวัดเสียนเต๋อ (Xiangde) เดินลัดเลาะขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ เจอเข้ากับพระอรหันต์ทององค์ใหญ่ ตั้งอยู่หน้าวิหาร แวะนมัสการไหว้พระก่อนที่จะเดินขึ้นเนินต่อไป จุดหมายเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมเจ็ดชั้น ที่เห็นลิบ ๆ ตั้งแต่อยู่บนสะพาน เจดีย์แปดเหลี่ยมเปิดประตูทิ้งกว้างทุกชั้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เดินขึ้นไป ได้เดินออกมานอกระเบียงเพื่อชมวิวเมืองเทียนเสียงที่อยู่ด้านล่าง ขณะที่ออกมายืนชมวิวนอกระเบียง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครในภาพวาดทิวทัศน์แบบจีน ที่ยืนอยู่ท่ามกลางขุนเขา แมกไม้ และมีธารน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง
อุทยานทาโรโกะนั้นกินพื้นที่ประมาณ 900 ตารางกิโลเมตร การจะเที่ยวชมให้ทั่วเลยต้องอาศัยรถนำพา รถ Shuttle Bus นั้นให้บริการนักท่องเที่ยวได้ในระดับหนึ่ง แต่ตารางเวลาขาดความชัดเจน ทำให้รถแท๊กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารที่สถานีรถได้รับความนิยมกว่า อีกทั้งราคา และการให้บริการเป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ลูกค้าไม่ลำบากใจในการติดต่อใช้บริการ
จุดท่องเที่ยวสำคัญของทาโรโกะนั้นห่างกันในหลักกิโล และสิ่งที่อวด เป็นโตรกผา ถ้ำ สายน้ำ และสะพาน
เราสองคนเริ่มต้นการเที่ยวชมที่อาจจะสวนทางกับชาวบ้าน คือเริ่มจากด้านในสุดออกไปเขตด้านนอก เริ่มจากเส้นทางเดินลี่สุ่ย (Lyushui) ที่มีระยะทางเดินยาว 1.9 กิโลเมตร และนี่เป็นเส้นทางเดินที่ฉันชอบมากที่สุด ตอนที่คนขับรถแท็กซี่ที่เราเหมาใช้บริการชี้ให้ดูทางเดินเข้า และนัดเจอกันอีกครั้งในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ฉันกับเพื่อนร่วมบ้าน มองเส้นทางที่คนขับรถชี้ให้ดูแล้วไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ รู้สึกว่าแปลกก็อีตรงเป็นการเดินป่าที่กางร่มนี่แหละ ดีที่ว่าทางอุทยานปรับเส้นทางเดินจนเดินได้ง่าย แม้มือหนึ่งจะถือร่ม อีกมือต้องคอยประคองกล้อง แต่ก็ไปได้โดยไม่ทุกลักทุเลอะไรมากมาย
ช่วงทางเดินระยะแรกเป็นเหมือนทางเดินป่าทั่วไป กระทั่งไปเจอเข้ากับถ้ำ.. เรื่องทางเดินทะลุเขานี่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของทาโรโกะเลยเชียว และความมืดภายในถ้ำยังคงเป็นสเมือนผ้าคลุมเปลี่ยนฉากที่จะปรากฏที่ปลายถ้ำอีกด้าน
ทันทีที่โผล่ออกไปพบแสงสว่างอีกครั้ง ทิวทัศน์ที่ปรากฏขึ้น เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ระยะทางสั้น ๆ นำพาเราสองคนทะลุสู่ทางเดินเรียบหน้าผาที่ขนานไปกับทางถนน และโตรกผาที่มีแม่น้ำลิวู(liwu) ไหลลัดเลาะผ่านตรงกลาง ขณะเดินเรียบไปตามไหล่ผา รู้สึกราวกับกำลังเดินบนระเบียงทางเดินของมหาวิหาร เพื่อชื่นชมกับภาพจิตรกรรมฝาผนังจากธรรมชาติ.... รู้สึกอย่างนั้นเลยทีเดียวละ
1.9 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเดินป่าที่สวยสุด ๆ เส้นทางหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
จุดแวะพักเพื่อชมวิวถัดไปคือสะพานชิมู (cihmu) สะพานราวแขวนสีแดงสดที่มีเสาเป็นรูปตัว H ราวสะพานสร้างจากหินอ่อน ใกล้ ๆ ด้านข้างมีศาลาที่พักตั้งอยู่ มองเผิน ๆ ถ้าไม่ทันสังเกตเหมือนไม่มีอะไร กระทั่งคนขับรถแท็กซี่ทำหน้าที่ไกด์ที่ดี ชี้ให้ดูฐานหินที่เป็นที่ตั้งของศาลาว่ามีสัณฐานเหมือนกบ พอมีคนชี้แนะเท่านั้นแหละ พอมองไป... เออ เหมือนกบจริง ๆ ด้วย แถมตบท้ายน่ารักว่าศาลาด้านบนเป็นเสมือนมงกุฎของเจ้ากบ อย่างนี้กบที่ทาโรโกะก็ต้องเป็นเจ้าชายกบละสิ...
จุดชมวิวต่อไปเป็นเส้นทางอุโมงค์เก้าโค้ง (Tunnel of Nine Turns) บริเวณนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้ที่จะเดินเข้าไปชมอุโมงค์ข้างในจะต้องสวมหมวกกันน็อคสีขาว ที่มีสัญลักษณ์ของทางอุทยานสกรีนอยู่ก่อน
เป็นการกระตุ้นต่อมผจญภัยเล็ก ๆ ให้รู้สึกคึกคักขึ้นมาในฉับพลัน
หากชื่ออุโมงค์เก้าโค้งก็จริง แต่ระยะทางของอุโมงค์สั้นจุ๊ด ความรู้สึกคึกคักเลยจางหายในเร็วพลัน มารู้สึกตื่นตัวอีกครั้งก็ตอนเจอป้าย “ระวังหินร่วง กรุณาผ่านอย่างรวดเร็ว” ให้ตายเถอะ... แล้วเจ้าก้อนหินที่นอนกระเด็นกระดอนตรงอีกฟากของทางเดินที่คั่นด้วยเส้นสีแดง ห้ามผ่านน่ะ ใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เกิดจับพลัดจับพลูหล่นลงมายังเขตที่เดินกันอยู่ละก้อ... ตัวใครตัวมันเลยเชียว แต่เขาคงคำนวณกันแล้วล่ะ ว่าปลอดภัย ถึงจะมีหินร่วงหล่นมาแถวบริเวณที่ปล่อยให้เดินผ่านเข้าไปได้ ก็คงเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย ที่หมวกกันน็อคเอาอยู่ (หวังว่านะ)
อุโมงค์เก้าโค้ง เป็นจุดที่เผยเนื้อหินอ่อนของหน้าผาให้เห็นในระยะประชิด เพราะเป็นจุดที่หน้าผาสองด้านเผชิญในระยะใกล้ ห่างกัน แค่ประมาณ 10 เมตรเท่านั้น โดยที่มี... มนุษย์ตัวกระจ้อยอย่างเรา ๆ ยืนแหงนคอมองกันตาปริบ ๆ
ไม่ได้เห็นตัวนกนางแอ่น เห็นแต่รอยพรุนที่กระจายทั่วหน้าผา มีป้ายติดบอกข้อมูลว่า จะมีนกนางแอ่นบินมาที่หน้าผานี้ในฤดูร้อน และฤดูใบไม้ผลิ เพื่อยึดครองรอยพรุนของหินเป็นรวงรังของพวกมัน
จุดแวะพักถัดไปคือ ศาลเจ้าแห่งสายน้ำนิจนิรันด์ (Eteranal Spring Shrine) ซึ่ตั้งงอยู่บริเวณต้น ๆ ทางเข้าของอุทยานทาโรโกะ... ภาพศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บริเวณชิงเขาที่สลับซ้อน และมีเมฆแผ่ปกคลุมอยู่ด้านบน ทั้งมีธารน้ำที่ไหลลงสู่ผืนหินเบื้องล่าง นับเป็นงานสร้างสรรค์ที่ลงตัวระหว่างธรรมชาติกับงานก่อสร้างของมนุษย์
ศาลเจ้าแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตขณะทำการก่อสร้างทางถนน จำนวน 225 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 702 คน ฉันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศาลที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เสียชีวิต และผู้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ความไม่ยอมแพ้ เพราะศาลที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เป็นศาลที่สร้างขึ้นมารอบที่สามแล้ว จากที่เคยพังเพราะดินถล่ม และแรงพัดของพายุไต้ฝุ่น มาสองรอบ
3 ความคิดเห็น:
อ่านแล้วรู้สึกน่าติดตาม สนุกมากๆครับ
ขอบคุณครับผม
ขอบคุณครับผม
ขอบคุณมากค่ะ
แสดงความคิดเห็น