29 มิถุนายน 2554

Popular Prague 9


                ช่วงเย็นของวันก่อนวันสุดท้ายในปราก เพื่อนร่วมบ้านแอบแว่บออกไปเดินสำรวจรอบ ๆ ที่พักเพียงลำพัง ขณะที่ฉันขอนั่งพักสบาย ๆ เตรียมจิบกาแฟอุ่น ๆ ซึ่งฟรีและไม่อั้นจริง ๆ ตามโฆษณาในเว็บ ก็เจ้าของที่พักทิ้งกระปุกกาแฟอิตาเลี่ยนไว้ในตู้แขวนในห้องครัว ใครใคร่กินก็ต้มน้ำ ชงกินกันเอง
                กำลังนั่งสบาย ๆ เพื่อนร่วมบ้านก็กลับมา พร้อมชักชวน  “เร็ว… ออกไปเดินข้างนอกกัน” ท่าทางจริงจัง
                ฉันกำลังสบาย ๆ เลยอิดออดไม่อยากไปไหน  แต่ในที่สุดเขาก็ฉุดฉันออกไปข้างนอกจนได้ หน้าตาดูเจ้าเล่ห์หน่อย ๆ
                แล้วเพื่อนร่วมบ้านก็พาฉันมาทักทาย St Wenceslas ที่นั่งอยู่บนหลังม้าหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในท่วงท่าเดียวกับที่ปรากฏบนภาพจิ๊กซอร์
                ฉันรู้สึกอึ้งไป… ที่พักฉันอยู่ใกล้กับจตุรัส St Wenceslas ขนาดนี้เชียว… แล้วฉันก็โยนความผิดไปให้เมืองปราก… ก็ไฉนเจ้าดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย ให้เดินไหลตามกันไปทางโน้น ทางนี้  ทำให้ฉันเพลิดเพลินกับการท่องเมืองแบบว่าไงว่าตามกัน จนแทบไม่ได้ดูแผนที่ และไม่ได้สังเกตเลยว่าที่พักจะอยู่ใกล้กับจตุรัสขนาดนี้
                ฉันนั่งพักบนม้านั่งที่ลานกลางถนน มองผู้คน มองตึกสองด้านที่โอบขนาบ เพื่อนร่วมบ้านฉันเดินวนไปวนมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกไม่ยอมหยุด… จนฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา สุดท้ายอดใจไม่ได้ ออกปากขอเพื่อนร่วมบ้านให้หยุดถ่ายรูปสักระยะได้มั้ย….
                เมื่อกล้องถูกเก็บใส่เข้าในกระเป๋า และเขามานั่งใกล้ ๆ ข้าง ๆ ฉัน  เราอยู่กันนิ่ง ๆ  โดยไม่พูดอะไร ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศรอบตัว… ความรู้สึกดี ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง… บางช่วงเวลาฉันว่า การมัวแต่วุ่นถ่ายรูปและพยายามเดินสำรวจดูอะไรให้มากที่สุดก็ล้นเกินไปสำหรับการเดินทาง




               
ถ้า…การทักทายแรกของฉันในเมืองปรากคือการไปเยือนโบสถ์เซนต์วิตัสที่งามนักงามหนา… ก่อนที่จะจากเมืองปรากไปในวันพรุ่ง ฉันก็ได้มาอำลากษัตริย์เวนเซสลาส ที่เป็นผู้สร้างโบสถ์เซนต์วิตัสเป็นลำดับสุดท้าย... เป็นความบังเอิญที่ทำให้รู้สึกดีเอามาก ๆ

หมายเหตุ.... งานเขียนชุดนี้มี 9 ตอน ตีพิมพ์ในนิตยสารหญิงไทย
Popular Prague 1   Popular Prague 2   Popular Prague 3    Popular Prague 4  Popular Prague 5
Popular Prague 6  Popular Prague 7   Popular Prague 8   Popular Prague 9

Popular Prague 8


                หนังเรื่องชินเล่อร์ ลิสต์ทำให้โลกรับรู้ถึงความโหดร้ายของพวกนาซีที่มีต่อชาวยิว และนั่นทำให้ขณะที่ยืนอ่านคำอธิบายงานศิลปะของเด็ก ๆ ในค่ายกักกันที่นำมาแสดงในพิพิธภัณฑ์ยิว ให้ความรู้สึกที่พุ่งปี๊ดขึ้นมา ภาพงานศิลปะในตู้ข้างหน้ากับคำอธิบาย ซ้อนด้วยภาพจากในหนัง…. มนุษย์โหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกัน
                ยอมรับว่าเรื่องปรากกับยิว…. ไม่ได้อยู่ในหัวมาก่อน
                มารู้สึกสะดุดกึกกักอยู่บ้างตอนเห็นภาพจิ๊กซอร์ Praha ภาพโปรดของเพื่อนร่วมบ้าน
                นักบวชชาวยิว Rabi Low ในชุดเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ในกลุ่มบริเวณแถวหน้าสุด  เชื่อกันว่าเขาเป็นผู้สร้างมนุษย์โคลนโกเล็ม   นักเขียนฟรานซ์ คราฟกา ที่ยืนหันหลังให้ในชุดสีดำ ก็มีเชื้อสายยิว….. ฉนั้นจริง ๆ แล้วชาวยิวโผล่ออกมาทักทายฉันกับเพื่อนร่วมบ้านตั้งแต่วันแรก ๆ ในปรากแล้ว ถ้าฉันจะสังเกตให้มากกว่านี้
                ชุมชนชาวยิวในปรากจัดเป็นชุมชนใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในยุโรปตะวันออก  และในย่านนั้นเองมีพิพิธภัณฑ์ยิวเปิดให้เข้าชม ราคาค่าเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ ต้องใช้คำว่า “เอาเรื่อง”  สูงกว่าค่าเข้าชมปราสาทปรากคอมแพล็กซ์ด้วยซ้ำ…. แต่ เสียเวลาตัดสินใจไม่นาน ฉันและเพื่อนร่วมบ้าน ก็ตัดสินใจซื้อตั๋ว
                ด้านหน้าตั๋วที่เดี๋ยวนี้ไฮเทคกันสุด ๆ สั่งพิมพ์กันสด ๆ  ระบุวันเดือนปี และเวลาเข้าชมกันตรงนั้น ระบุให้รู้ว่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้แบ่งส่วนให้เข้าชม 6 ส่วน
                The Maisel Synagogue
                The Spanish Synagogue
                The Pinkas Synagogue
                The Old Jewish Cemetery
                The Klaus Synagogue
                The Ceremonial hall
                เห็นคำว่า  Synagogue เยอะ ๆ อย่าเพิ่งงง Synagogue แปลว่าสุเหร่ายิว
ภายในพิพิธภัณฑ์ที่ชวนอึ้งที่สุด คงเป็น The Pinkas Synagougue
ชั่วขณะแรกที่เดินเข้าไป ภายในแปลกตากว่าสุเหร่า 2 แห่งแรกที่ผ่านมา ไม่มีงานแสดงใด ๆ ในห้องโถงนั้น ทุกอย่างว่างเปล่า และความว่างเปล่านั่นเองช่วยขับเน้นให้เห็นลายเส้นสีแดงสลับดำบนผนัง เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงค่อยรู้ว่านั่นไม่ใช่ลวดลายเพื่อความสวยงาม หากเป็นรายชื่อของชาวยิวในปรากที่ถูกฆ่าโดยพวกนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  รายชื่อทั้งหมดได้รับการเขียนบันทึกด้วยลายมือ จดจารไว้บนผนังเพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำ และทั้งหมดมีทั้งสิ้น  80,000 ชื่อ… มากมายขนาดนั้น
และเมื่อเดินขึ้นไปบนชั้นบน เท้าที่ก้าวเดินหนักอึ้งกว่าเดิม ด้านหน้าที่เป็นตู้กระจก จัดแสดงงานศิลปะและภาพวาดของเด็ก ๆ ในชื่อ  “Children’s Drawings from Terezin 1942-1944”
งานของเด็ก ๆ ชาวยิวในค่ายกักกัน Terezin ที่กำลังอยู่ระหว่างรอการส่งไปตายด้วยการรมควันด้วยแก๊สที่ค่าย  Auschwitz ในโปแลนด์
แค่นี้ก็รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก…
ฉันพยายามอ่านคำอธิบายถึงงานแต่ละชิ้นอย่างละเอียด… และสังเกตคนที่อยู่ข้าง ๆ รอบด้านทำเช่นนั้นเช่นกัน…อย่างตั้งอกตั้งใจ  สีหน้าแต่ละคนนิ่ง เงียบขรึม สายตาฉันไม่หลอกตัวเองแน่ มีแววสะเทือนใจปรากฏอยู่บนใบหน้าคนเหล่านั้น
ถ้าใครบอกคุณว่าค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยิวแพง และด้านในไม่มีอะไรคุ้มค่าแก่การเข้าชม ฉันไม่คิดเช่นนั้น
                พ้นจาก
Pinkas Synagougue  เป็นสุสานยิวโบราณ Old Jewish Cemetary   เป็นสุสานชาวยิวที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่  เพราะสุสานอื่น ๆ ถูกพวกนาซีทำลายไปเกือบหมด เว้นแต่ที่นี่ที่ฮิตเลอร์ปล่อยทิ้งไว้ในสภาพเดิม เพราะมีแผนที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์ยิวที่นี่หลังจากกวาดล้างชาวยิวในยุโรปจนหมดสิ้น
เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับชาวยิวมีแต่เรื่องหดหู่ ภายในสุสานที่พื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายอะไรเลย แออัดไปด้วยแท่งหินของหลุมฝั่งศพที่เก่าคร่ำคร่า ปักอยู่บนดินในสภาพโย้เย้ และบางแท่งก็ล้มทับเกยกันด้วยซ้ำ ใต้แท่งหินเหล่านั้นคือหลุมศพที่ว่ากันว่ามีมากมายกว่า แสนศพฝังทับซ้อนกัน 12 ชั้น ช่างแตกต่างจากภาพสุสานด้านหลังโบสถ์เซนต์ปอลและปีเตอร์ในเขตปราสาท Vysehrad ที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม ราวกับต้องการสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่สำหรับชาวยิวบนโลกใบนี้มีน้อยนิดจริง ๆ กระทั่งเสียชีวิตไปแล้วก็ยังไม่เว้น




แต่เดิมนั้นชาวยิวที่นี่ไม่ได้รับการยอมรับ พวกเขาถูกกีดกันให้อาศัยอยู่แต่ในเขตของตนเองโดยมีกำแพงสร้างล้อมกั้นไว้และในยามค่ำคืนประตูกำแพงจะถูกล็อค นั่นทำให้เมื่อพวกเขาเสียชีวิตจึงถูกฝังทับซ้อนกันในสุสานแห่งนี้… สุสานยิวที่ปรากฏให้เห็นเบื้องหน้าจึงแออัดและน่าเห็นใจเป็นที่สุด
                และที่นี่… ภายในสุสานแห่งนี้นี่เองที่เป็นที่ฝังศพของ Rabbi Low  คนดังในเมืองปรากที่ปรากฏบนภาพจิ๊กซอร์ 


Popular Prague 1   Popular Prague 2   Popular Prague 3    Popular Prague 4  Popular Prague 5
Popular Prague 6  Popular Prague 7   Popular Prague 8   Popular Prague 9

Popular Prague 7


                Vysehrad….. วิเชะราด
                ออกเสียงยากชะมัด
                ได้นั่งรถไฟใต้ดินออกไปไกล ๆ หน่อย ก็คราวนี้ ตั๋วรถไฟที่ซื้อมาต้องเก็บไว้ให้ดี ๆ ถึงไม่ต้องใช้ตั๋วเวลาขึ้นรถไฟ แต่ระหว่างเดินเข้า ๆ ออก ๆ ในสถานี บางช่วงจังหวะเจ้าหน้าที่ก็มาดักขอดูตั๋วกันดื้อ ๆ แล้วที่สังเกต หน้าแปลก ๆ  พันธุ์เอเชียนี่มักจะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
                ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินออกไปข้างนอก รู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล… อยู่เมืองปรากมาหลายวัน เจอแต่ตึกสไตล์อาร์ตนูโว ตึกสไตล์โกธิค พออยู่ดี ๆ โผล่มาเจอตึกสมัยใหม่ติดกระจกอวดโฉมตะหง่านอยู่ด้านหน้าเลยรู้สึกวางตัวไม่ถูก
                 หันหมุนวนรอบ ๆ ดูทิศทางแล้ว…. ถึง Vysehrad จะไม่ป๊อปปูล่าร์เท่าปราสาทปรากคอมเพล็กซ์  แต่เส้นทางเดินเท้าทำอย่างดี พร้อมป้ายชี้บอกทาง… ทำให้แผนที่ไม่ต้องใช้อีกตามเคย
                เดินไปตามทางข้างหน้านี่แหละ… เดี๋ยวก็เจอเอง
                สิ่งก่อสร้างใน Vysehrad ไม่โอ่อ่าสวยตระการเท่าในเขตปราสาทปราก… แต่ที่ฉันชอบคือความเรียบง่าย และบรรยากาศร่มรื่นภายใน  โดยเฉพาะบริเวณสวนที่เน้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น จะมีอะไรดีไปกว่าการได้นั่งสงบ ๆ ใต้ร่มเงาสีเขียวที่โอบล้อม  และถ้าเดินไปจนสุดขอบเนิน จะได้เห็นวิวเมืองปรากและแม่น้ำวัลตาวาที่แปลกตาออกไป ไม่ค่อยได้เห็นในภาพถ่ายที่ไหน
                แต่… ถึงจะชอบในความร่มรื่น จังหวะของเส้นทางเดิน และจุดนั่งพักที่เอื้อให้ทุกระยะ  รวมทั้งอาหารกลางวันมื้ออร่อยที่แพ็กมากินภายในสวน ตบด้วยกาแฟอุ่น ๆ หอมกรุ่นจากซุ้มใกล้ ๆ  หากฉันแอบสารภาพกับเพื่อนร่วมบ้าน  อย่าได้ชักชวนฉันเข้ามาในสวนนี้ยามโพล้เพล้ และยามค่ำคืนโดยเด็ดขาด … ปรากมีหลายอารมณ์  ถึงสวนแห่งนี้จะให้ความรู้สึกที่ดี สงบร่มเย็น แต่ในอีกมุมหนึ่งฉันรู้สึกสวนแห่งนี้แอบซ่อนความลี้ลับไว้ เส้นสายของไม้ใหญ่ ที่ปราศจากการปรุงแต่งให้รู้สึกเหมือนซ่อนเร้นอะไรไว้อยู่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าในยามค่ำคืนจะมีอัศวินขี่ม้าท่อม ๆ อยู่ภายในสวน หรือมีวิญญาณต่าง ๆ ล่องลอยผ่านไปมา มีเจ้าหญิง มีเจ้าชาย… และมนุษย์โคลนโกเล็ม
                สวนแห่งนี้ให้บรรยากาศอย่างนั้นจริง ๆ
                และท่ามกลางฝนที่ตกลงมาพรำ ๆ ฉันเดินอย่างสงบเงียบภายในสุสานด้านหลังโบสถ์ St. Peter and Paul     บุคคลเลื่องชื่อของปรากหลายราย นอนทอดร่างสงบนิ่ง ณ บริเวณนี้
                Alfons Mucha
                Karel Capek
                Jan Neruda
                …..



Popular Prague 1   Popular Prague 2   Popular Prague 3    Popular Prague 4   

Popular Prague 5   Popular Prague 6  Popular Prague 7   Popular Prague 8  
 
Popular Prague 9

Popular Prague 6

.
                สารภาพแอบคิดนอกใจปรากอยู่หลายครั้ง เพราะมีกองเชียร์ยุยงไว้ ให้ไปเยือนเมืองใกล้ ๆ อย่างเมือง Karlovy vary เมืองสปาที่ว่ากันว่าความสวยไม่แพ้เมืองปราก  หรือเมือง Kutna Hora ที่มีสถานที่แปลกอย่างโบสถ์ที่นำเอาหัวกะโหลกมนุษย์มาตบแต่งประดับประดา  แต่นั่นแหละเอาเข้าจริง ๆ เสน่ห์ปรากยังแรงมัดใจให้ไปไหนไม่รอด  สุดท้ายหยิบเอาแผนที่เมืองปรากที่ทางเจ้าของโฮสเทลทิ้งไว้ให้ตั้งแต่วันแรกมาดูใหม่ พอดี๊เจ้าของเข้ามาพอดี เลยยกแผนที่ไปขอคำแนะนำจากเจ้าถิ่น
                รอยยิ้มนุ่ม ๆ แบบคนใจดี ถามไถ่พวกเราคร่าว ๆ ว่าไปไหนมาแล้วบ้าง ก่อนชี้ชวนให้ลองไปชม Vysehrad ซึ่งเป็นปราสาทอีกแห่งของเมือง อยู่ทางทิศใต้ติดริมแม่น้ำ  จากนั้นลองย้อนกลับไปยัง Josefov ซึ่งเป็นย่านชุมชนชาวยิว  อืมม์เจ้าถิ่นว่าไงว่าตามกัน
                ก่อนจะไปไหนกันต่อแว่บมาว่าด้วยเรื่องโฮสเทลกันดีกว่า  ไหน ๆ ก็อุตส่าห์เปิดตัวตัวละครตัวหนึ่งขึ้นมาแล้ว
                โฮสเทลเมืองปรากไม่ได้ตกแต่งสุดฮิป เก๋ไก๋แบบเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ในยุโรปตะวันตก แต่เป็นอพาร์ทเมนท์ในตึกธรรมดาที่ปรับแต่งรองรับนักท่องเที่ยว อารมณ์ไม่เก๋เท่าโฮสเทลเท่ห์ ๆ ที่มุมพักผ่อนสวยหยด ผสมไอเดียแปลกเข้ากับสวนสีเขียว แต่โฮสเทลธรรมดาของปรากนี่แหละให้อารมณ์ส่วนตัวเหมือนพักอยู่กับบ้าน ห้องกว้างขวางสะอาดสะอ้าน แถมเจ้าของยังปล่อยให้แขกที่มาพักอยู่กันเองอย่างแสนเสรีอีกต่างหาก เจ้าของจะแวะเข้ามาเมื่อมีแขกเข้ามาพัก และทำความสะอาดเท่านั้น
                ฉันยังจำได้ถึงข้อสงสัยตอนที่จองเกสท์เฮ้าสท์แห่งนี้ผ่าน Hostelworld.com
                ระบุเวลาเข้าพักที่ชัดเจน ไม่มีพนักงานต้อนรับ??
                งงคะ
                เกือบจะไม่เลือกแล้ว เพราะเทใจจะไปเลือกโฮสเทลใกล้สะพานชาร์ลส์ แหมก็ชื่อชั้นชาร์ลส์น่ะใคร ๆ ก็อยากชิดใกล้ แต่ชาร์ลส์ก็ชาร์ลส์เถอะแพ้โฮสเทล ณ จตุรัสเมืองใหม่ เฉยเลย ที่แพ้น่ะ แพ้ด้วยเรื่องห้องครัวล้วนๆ …  ให้ชั่งใจระหว่างวิวสวย ๆ กับเรื่องปากท้องฉันเลือกปากท้องแฮะ
                แล้วที่จูงใจเพิ่มเติมคือคำโฆษณาชากาแฟ ไม่อั้น
                ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ลากกระเป๋าดูแผนที่ที่พิมพ์เตรียมมาจากอินเตอร์เน็ต ระมัดระวังกันเต็มที่ไม่ให้หลง เพราะเข็ดแล้ว หลงทางเวลาตัวเปล่า ๆ ไม่เท่าไหร่ แต่หลงทางเวลาของเต็มกระเป๋านี่ไม่สนุกเอาจริง ๆ  เดินวนบนถนนเส้นเดิมที่มั่นอกมั่นใจว่าเจ้าโฮสเทลที่จองไว้ต้องอยู่บนถนนเส้นนี้แน่ ๆ  แต่ไม่ยักเห็นป้ายติดตรงไหนสักแห่ง ส่งสัญญาณให้รู้เลยว่า.มีโฮสเทลอยู่ ณ แถวนี้  กระทั่งชายหนุ่มวัยกลางคนเดินออกมาจากเจ้าตึกที่เราเดินผ่านไปมาไม่รู้กี่รอบ ส่งเสียงร้องเรียกและรอยยิ้มทักทาย … ณ ตอนนั้น… ฉันรู้ทันทีว่าเราถึงโฮสเทลแล้ว
                บานประตูหนาหนักหน้าตึกแห่งนั้นถูกผลักออก…. แต่ยังทันได้เห็นชื่อโฮสเทลที่จองไว้ติดอยู่หน้าประตู อักษรอาราบิกเล็ก ๆ และไม่มีคำว่าโฮสเทลต่อหลังพ่วงท้าย… แล้วถ้าเกิดเจ้าของไม่เห็นเราสองคนเดินวนไปวนมาจากหน้าต่างชั้นบน แล้วลงมาตาม เราจะหาที่นี่เจอมั้ยเนี่ย
                เจ้าของโฮสเทลพาเราเข้าไปดูห้องพัก ห้องน้ำ แนะนำวิธีใช้อุปกรณ์ห้องครัว หยิบแผนที่เมืองมาให้ และราวรู้ใจกางชี้ให้ดูซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ ที่เราจะเดินไปหาซื้อของกินได้สะดวก
                That it
                ตบท้ายด้วย นามบัตร มีปัญหาอะไร… โทรไปได้ทุกเมื่อ  และพรุ่งนี้เจอกัน
               นี่คือเหตุผลทำไมตอนจองห้องพักถึได้ซีเรียสเวลาเข้าพักนักหนา… ที่นี่ไม่มีพนักงานต้อนรับ อย่าว่าแต่พนักงานต้อนรับเลย เจ้าของยังไม่อยู่ด้วยซ้ำ ปล่อยให้แขกที่มาพักอยู่กันเอง
               ฉันสบตากับเพื่อนร่วมบ้าน ธุรกิจโฮสเทลเดี๋ยวนี้ก้าวหน้าถึงขั้นนี้แล้ว อินเตอร์เน็ตเปลี่ยนแปลงวิถีหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งวิถีการท่องโลก… เป็นแต่ก่อนเดินทางไปไหน ต้องพก lonely planet ไปด้วยประดุจเป็นคัมภีร์เล่ม สำคัญที่ขาดไม่ได้ ต้องฟิตกำลังขาสุด ๆ เพราะจะใช้เวลาเดินท่อม ๆ หาที่พักนานแค่ไหน ยากจะคาดเดา แต่เดี๋ยวนี้ ทุกอย่าง…อยู่แค่ปลายนิ้วมือกดแป้นคีย์บอร์ดจริง ๆ  ต้องการอะไรล่ะ… เดี๋ยวอินเตอร์เน็ตจัดให้
 ชา กาแฟไม่อั้นในโฮสเทล

บรรยากาศยามเย็น ฝนตกพรำ ๆ มองออกไปนอกหน้าต่างโฮสเทล ให้อารมณ์ไปอีกแบบ

Popular Prague 1   Popular Prague 2   Popular Prague 3    Popular Prague 4   

20 มิถุนายน 2554

Popular Prague 5



นาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) …

นาฬิกาดาราศาสตร์อวดโฉมให้เห็นบ่อย ๆ บนภาพวาดที่ศิลปินอิสระวางเร่ขายนักท่องเที่ยวระหว่างทาง เรียกได้ว่า ฮิตฮอตไม่แพ้ปราสาทปราก และสะพานชาร์ลส์เลยทีเดียว ฮอตฮิต เสียขนาดนั้น เรียบ ๆ เคียง ๆ มองอยู่หลายที สุดท้ายเลยหยิบติดไม้ติดมือมาเป็นของที่ระลึก สำหรับตัวเองหนึ่งใบทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นของจริงด้วยซ้ำ ตอนที่ซื้อพยายามจะพลิกหน้าพลิกหลังดูร่องรอยว่านี่เป็นภาพวาดของจริงแท้หรือเป็นภาพของเทียมที่ scan จากเครื่องคอมพิวเตอร์กันแน่ แต่ดูยังไงก็ดูไม่ออก ยิ่งมองหน้าคนขายที่ยืนยิ้มแฉ่งด้วยความคาดหวัง ยิ่งไม่ได้คำตอบ ถามไปก็ได้ยินแต่เสียงยืนยันพร้อมพยักหน้าหงึกหงัก “ฝีมือไอเอง” ชี้ยืนยันไปที่ ลายเซ็นต์ตรงมุมภาพ สุดท้าย… ไม่เอาแล้ว ถูกใจนี่นา ซื้อมาเถอะสนนราคายังไม่ถึง 200 บาท ด้วยซ้ำ

อย่างที่บอก ไม่ต้องกางแผนที่ ไม่ต้องถามไถ่ทางใครให้วุ่นวาย วนเวียนไหลตามขบวนนักท่องโลกไปเรื่อย ๆ ที่สุด ก็มาถึงลานจตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square)และเจอะเจอกับนาฬิกาดาราศาสตร์บนหอคอยศาลาเทศบาลเมืองเก่าอย่างงง ๆ ในภาพวาด ว่าสวยแล้ว ของจริงยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ … ยิ่งประสมกับนักท่องเที่ยวที่นั่งกันเต็มลานคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ตามด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินไหลเข้าไหลออกอย่างไม่รู้จบ ผ่านไปผ่านมาก็ต้องหยุดแวะพักสายตาที่หอนาฬิกา ยิ่งรู้สึกได้บรรยากาศเข้าไปใหญ่ ฉันน่ะ ยกนาฬิกาข้อมือ
ขึ้นมาดูเวลา เพราะอยากรู้ว่าใกล้ถึงเวลาโชว์ไทม์ของบรรดาตุ๊กตาทั้งหลายที่จะออกมาขยับเขยื้อนตามกลไกของนาฬิกา ทุก ๆ 1 ชั่วโมง หรือยัง จะได้ปักหลักปักฐานเสียเลย ส่วนเพื่อนร่วมบ้านไม่สนใจล่ะ… คว้ากล้องมาเล็ง ๆ ซูม ๆ พยายามเก็บภาพนาฬิกาด้านหน้าให้สวยที่สุดเหมือนที่เห็นด้วยตาเปล่า (หรือตั้งใจจะมาแข่งอวดความสวย กับรูปภาพสดซิ่งที่ฉันซื้อมา)

บรรยากาศร้านกาแฟแถวจตุรัส นักท่องเที่ยวนั่งดื่มกิน จำนวนมาก

ฉวยจังหวะที่คนร่วมชายคาเป็นพวกเนิบช้ากว่าจะถ่ายรูปได้แต่ละภาพค่อนจะใช้เวลานานกว่าชาวบ้านอยู่หลายช่วง ฉันเลยหาที่ทรุดนั่งบนพื้นแถว ๆ นั้น มองนาฬิกาดาราศาสตร์อย่างเอาจริงเอาจัง

นาฬิกาดาราศาสตร์มาแบบศิลปินคู่ ไม่ได้มาเดี่ยว เรือนที่อยู่ด้านบนใหญ่กว่าเรือนด้านล่างเล็กน้อย
ทั้งค่อนข้างจะสลับซับซ้อน มีกรอบหน้าปัดขนาดเล็กซ้อนอยู่บนหน้าปัดใหญ่

สนใจดูหน้าปัดใหญ่ก่อนดีกว่า กรอบตัวเลขที่บ่งบอกเวลามีด้วยกันสองกรอบ กรอบด้านในเป็นตัวเลขแบบโรมันขณะที่กรอบด้านนอกเป็นตัวเลขแบบอารบิก สีพื้นด้านหลังของตัวเรือนนาฬิกามีด้วยกันสามสี สีฟ้าแสดงถึงเวลากลางวัน สีแดงแสดงถึงเวลาโพล้เพล้ ขณะที่สีดำแสดงถึงเวลากลางคืน บนตัวนาฬิกามีภาษาละตินเขียนกำกับตรงส่วนสีแดงด้านซ้าย aurora …รุ่งสาง พอพ้นส่วนสีแดงเหนือขึ้นไปเป็นส่วนสีฟ้าซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 12 ส่วน แสดงถึงเวลา 12 ชั่วโมงในช่วงกลางวัน ตรงสีฟ้าส่วนที่ 1 จะมีภาษาละตินเขียนกำกับไว้ว่า ortus…..พระอาทิตย์ขึ้น ขณะที่สีฟ้าส่วนที่ 12 ด้านขวามือที่อยู่ตรงข้ามกัน ภาษาละตินที่เขียนกำกับไว้คือ occasus….. พระอาทิตย์ตก และตรงส่วนสีแดงด้านขวา ภาษาละตินที่ปรากฏอยู่คือ crepusculum…. เวลาโพล้เพล้
นาฬิกาเรือนบน

ตัวเลขโรมันที่อยู่ในกรอบด้านในบอกถึงเวลา เลข IIX ด้านล่าง คือเวลาเที่ยงคืน และ IIX ด้านบนคือเวลาเที่ยงวัน เข็มชี้บอกเวลาในเวลากลางวันจึงชี้ตัวเลขในโซนสีฟ้า พอเวลากลางคืนเข็มจึงชี้ตัวเลข ในโซนสีแดงกับสีดำ บ่งถึงยามกลางวัน ยามกลางคืน

สำหรับกรอบตัวเลขอาราบิกด้านนอกเริ่มจากเลข 1 ถึง 24 แสดงถึงเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วัน โดยเริ่มนับจากเวลาพระอาทิตย์ตก กรอบตัวเลขอาราบิกนี้หมุนได้ต่างจากกรอบตัวเลขโรมัน ฉนั้นเลข 1อาราบิกหมุนไปตรงกับเลขไหนของตัวเลขโรมันนั่นคือเวลาพระอาทิตย์ตก

สำหรับกรอบหน้าปัดเล็กที่ซ้อนอยู่บนหน้าปัดใหญ่นั้น สัญลักษณ์ที่แสดงในกรอบเป็นสัญลักษณ์จักรราศีทั้ง 12 ราศี ในเวลาหนึ่งปี มี 12 เดือน พระอาทิตย์จะโคจรผ่านไปตามกลุ่มดาวจักรราศีต่าง ๆ ทั้ง 12 กลุ่ม กลุ่มละ 1 เดือน โดยพระอาทิตย์จะย้ายราศีในช่วงประมาณกลางเดือน เข็มนาฬิกาที่ตรงปลายเป็นรูปพระอาทิตย์แผดแสงสีทองชี้ตรงไปยังจักรราศีใดจึงหมายถึงตำแหน่งของพระอาทิตย์บนท้องฟ้า ณ เวลานั้นว่ากำลังโคจรผ่านกลุ่มดาวใด
ฉันมองผ่านนาฬิกาดาราศาสตร์ขึ้นไปบนยอดของหอคอย ซึ่งจะมีนาฬิกาของยุคปัจจุบันติดอยู่… รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที เวลา 15.15 น. แล้ววันนี้วันอะไรล่ะ 17 พฤษภาคม เอาล่ะ… ลองทดสอบนาฬิกายุคโบราณกันหน่อย เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขสามโรมัน โซนสีฟ้า ถูกต้องเวลาบ่ายสามโมง ลองดูเวลาที่พระอาทิตย์จะตกดีกว่า เลข 1 อารบิกของกรอบเลขด้านนอก อยู่กึ่งกลางระหว่างเลข 8 กับเลข 9 โรมัน โซนสีแดง แสดงว่าวันนี้พระอาทิตย์น่าจะตกราวสองทุ่มครึ่ง แล้วกรอบหน้าปัดเล็ก ๆ ด้านในล่ะ

เข็มนาฬิกาชี้ไปที่สัญลักษณ์วัว ค่อนใกล้จะย้ายไปยังสัญลักษณ์คนคู่… ถูกอีกนั่นแหล่ะวันที่ 17 พฤษภาคม คือปลายราศีพฤษภา ที่กำลังจะย่างเข้าสู่ราศีเมถุน
มิน่าเล่า…. นาฬิกาเรือนเดียวบอกได้ทั้งเรื่องวัน เวลา ตำแหน่งดวงอาทิตย์แบบนี้ ถึงได้เรียกว่านาฬิกา ดาราศาสตร์ ความจริงว่ากันว่า นาฬิกาเรือนนี้บอกตำแหน่งของพระจันทร์ได้ด้วย แต่ฉันดูเท่าไหร่ดูยังไงก็ไม่เป็นเลยข้ามไปดื้อ ๆ นี่แหละ

นาฬิกาเรือนล่าง

สำหรับนาฬิกาเรือนด้านล่างเป็นเสมือนปฏิทินบอกเวลาเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนแบบนาฬิกาด้านบน
ออกจะเน้นความสวยงามของภาพวาดมากกว่า ภาพที่ปรากฏบนนาฬิกาเป็นภาพสัญลักษณ์แทนจักรราศี ทั้ง 12 ราศี มีเข็มสีทองด้านบนชี้บ่งบอกช่วงเวลาของปี
ฉันกับเพื่อนร่วมบ้านวนเวียนอยู่แถวหน้าหอนาฬิกานี่แหละ…เพื่อรอเวลาบ่ายสี่โมงตรง ยิ่งใกล้เวลาคนเริ่มมามุงรอกันหนาแน่น 4 โมงตรงเป๋ง ตุ๊กตาข้างนาฬิกาเรือนบนเริ่มขยับ เริ่มจากตุ๊กตารูปโครงกระดูกด้านขวามือตัวแทนของความตาย คว่ำนาฬิกาทรายที่อยู่ในมือ ขณะที่ตุ๊กตาชาวเตอร์กที่อยู่ใกล้ ๆ ส่ายหัวไปมา ประมาณว่าไม่ยอมรับ ส่วนทางซ้ายมือเป็นรูปตุ๊กตาถือกระจกส่องดูตัวเองตัวแทนของ
ความลุ่มหลง ขณะที่ข้าง ๆ เป็นตุ๊กตาชาวยิวขยับถุงใส่เงินไปมาตัวแทนของความโลภ (แหม..แล้วต้องเป็นชาวยิวด้วยนะ)ตุ๊กตาทั้งสี่ตัวขยับตัวไปมาช้า ๆ ขณะที่ช่องกระจกเล็ก ๆ ด้านบนสองช่องเปิดออก ตุ๊กตานักบุญ ทั้ง 12 ตัว เคลื่อนขยับผ่านช่องหน้าต่างมองออกมาด้านนอกจนกระทั่งครบ จากนั้นกระจกจึงปิดลงดังเดิม และเสียงระฆังตีบอกเวลาดังขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเร็วมากและจบลงภายในเวลาไม่กี่นาที
ฉันรู้สึกตั้งตัวไม่ติดยังไงชอบกล ต้องหันไปมองคนรอบ ๆ ข้าง หลายคนมีสีหน้างง ๆ ไม่แพ้ฉัน แค่เนี้ยเหรอ ไม่มีต่อจริงน่ะฉันกระซิบถามเพื่อนร่วมบ้าน สายตายังมองอาวรณ์ไปยังตุ๊กตาที่อยู่ข้างบน  เพื่อนร่วมบ้านหันไปมองรอบ ๆ บ้าง คราวนี้หลายคนเริ่มขยับตัว เสียงพูดคุยหึ่งดังขึ้นอีกครั้ง ถึงเวลาสลายตัว
                “อือ แค่นี้แหละเพื่อนร่วมบ้านบอก
                “ว้า
                “จะเอาอะไรอีก
                “ก็รอตั้งนาน มีแค่เนี๊ยะฉันบ่นอุบอิบ
                ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่ารายการโชว์ของนาฬิกาดาราศาสตร์จะสั้นกระจุ๊งนึง 
                “ก็นาฬิกาเขาไว้ดูเวลาเพื่อนร่วมบ้านบอก ไม่ได้ไว้ให้ดูตุ๊กตาสักหน่อย
                เออจริงด้วย

Popular Prague 1   Popular Prague 2   Popular Prague 3    Popular Prague 4   
 
 

Popular Prague 4

                ชอบใจจริง  ๆ  เวลาเดินเที่ยวในเมืองปรากแผนที่สักฉบับในมือไม่มีรับรองไม่หลง และถึงแม้จะมีแผนที่ในมือ ฉันก็คงขี้เกียจกางออกดูอยู่ดี สู้เดินไหลตามฝูงชนด้านหน้าไปดีกว่าเดี๋ยวต้องถึงสถานที่เที่ยวที่สำคัญที่ไหนสักแห่ง
                 ไหลตามฝูงชนไปเรื่อย ๆ มีแอบเลี้ยวลด ไปดูโน่นนี่บ้างตามประสา อย่างร้านขายของที่ระลึกระหว่างทางที่ออกจะโปรดมากกว่าที่อื่นในยุโรป ด้วยลักษณะงานที่สีสันจัดจ้านสนุกสนาน เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหน้าตานิ่ง ๆ ดูเฉย ๆ แบบคนเช็กที่เดินสวนผ่านไปมา ไม่น่าจะมีอารมณ์ขี้เล่นสร้างสรรค์งานอย่างนี้ได้เลย แล้วแหมฉันกับเพื่อนร่วมบ้านไม่รู้ติดใจอะไรนักหนากับเรื่องห้องน้ำเห็นป้ายสีสันสดใสลวดลายการ์ตูนน่ารักเขียนคำว่า WC แขวนติดเต็มผนังก็วนดูอยู่นั่น จับ ๆ จ้อง ๆ จะซื้อไม่ซื้ออยู่ตั้งนาน


                ครั้นเดินต่อไปได้อีกสักหน่อย ก็เจอะเจอเข้ากับพิพิธภัณฑ์ Franz Kafka  นักเขียนชื่อดังที่ยืนอวดโฉมบนภาพจิ๊กซอร์รวมพลคนดังของปรากที่เพื่อนร่วมบ้านซื้อมา  นักท่องเที่ยวเมื่อผ่านมาถึงตรงนี้ ถึงไม่ใช่แฟนนักเขียนคนดัง เชื่อว่ายังไงก็อดใจไม่ไหวที่จะต้องหยุดแวะถ่ายรูปรูปปั้นไม้สองชายหน้าพิพิธภัณฑ์ที่ยืนเปลือยกายบิดหมุนไปมา แล้วน้ำก็ไหลพุ่งจู๊ด ปลดปล่อยจากอวัยวะสำคัญ



                 ที่สุดก็มาถึงตีนสะพานชาร์ลส์ อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกชาร์ลส์ทั้งขลัง ทั้งโรแมนติก และมีชีวิตชีวา ก็ดูเถอะจะมีสะพานไหนบ้างที่มีหอคอยสไตล์โกธิคยอดแหลมสูงปี๊ดรอคอยต้อนรับตรงทางเข้า แถมราวสะพานสองข้างยังประดับประดาไปด้วยรูปปั้นนักบุญต่าง ๆ ในรูปแบบสไตล์บาโรก  ผู้คนที่หลั่งไหลอยู่เต็มสะพานก็ล้วนแต่ยิ้มแย้ม ดีกรีความสุขแผ่ล้นกันเกลื่อนกราด ชี้ชวนกันชมวิวทิวทัศน์ของตัวเมือง ดื่มด่ำกับสายน้ำวัลตาวาที่ไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง และที่แน่ ๆ อดไม่ได้ที่ต้องหยุดแวะชมผลงานของบรรดาศิลปินอิสระทั้งหลาย ที่นำผลงานของตนมาวางอวดโฉมแสดงกันเต็มที่  มีทั้งที่เป็นภาพวาด ของที่ระลึกชิ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ  เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง  ๆ  ที่เป็นนักดนตรีก็บรรเลงเพลงสด ๆ ถ้าชอบใจก็ซื้อผลงานกลับไปฟังกันต่อ นักแสดงเร่ถนัดการแสดงแบบไหนโชว์กันให้เต็มที่ มีชีวิตชีวาซะขนาดนี้ทำให้หลายวันที่อยู่ที่ปราก อดไม่ได้มีโอกาสเมื่อใดเป็นต้องวนเวียนกลับมายังสะพานชาร์ลส์ทุกที 




                    เรื่องเล่าของสะพานชาร์ลส์ ณ ปัจจุบัน อาจเป็นเรื่องราวของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายภาษาที่มีจำนวนมากจนน่าทึ่งเดินสวนผ่านกันไปมา ทั้งที่ตั้งใจมาเยือนชาร์ลส์โดยเฉเพาะ และเพื่อสัญจรข้ามจากย่านเมืองเก่าไปยังปราสาทปรากคอมเพล็กซ์ที่อยู่อีกด้าน แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องเล่าของชาร์ลส์ น่าจะเริ่มต้นที่ตัวเลข 1 3  5  7  9  7 5  3 1   อย่าเพิ่งงงตัวเลขที่ว่า เป็นตัวเลขของวันและเวลาในการวางศิลาฤกษ์สร้างสะพาน นั่นคือเวลา 05.31 . ของวันที่ 9 กรกฏาคม ค.. 1357 ว่ากันว่าวันเวลาดังกล่าวเป็นความตั้งใจของนักดาราศาสตร์ในราชสำนักสมัยนั้น ที่เลือกขึ้นมาเพื่อจะได้ตัวเลขที่เมื่ออ่านเรียงจากซ้ายไปขวา และขวาไปซ้ายแล้วเหมือนกันทั้งสองด้าน
                      นอกจากตัวเลขพิเศษที่ว่า ชาร์ลส์ยังมีสูตรเด็ด นั่นคือ ไข่และนมที่ใช้ผสมลงไปในปูนขาวสำหรับเชื่อมหินที่ใช้ในการก่อสร้างสะพาน บางตำนานถึงขั้นเพิ่มแป้งและไวน์ลงไปด้วย เชื่อกันว่าส่วนผสมพิเศษนี้ช่วยให้สะพานแข็งแรงทนทานต่อกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากในยามมีอุทกภัยได้ แล้วแม่น้ำวัลตาวาเห็นไหลเอื่อย ๆ ผ่านตัวเมืองไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น เวลาร้ายคงร้ายน่าดู เพราะเคยถล่มสะพานเชื่อมเมืองอันเก่าพังลงไปมาแล้ว ทำให้ต้องสร้างสะพานชาร์ลส์ขึ้นมาแทน
              ตำนานเกี่ยวกับสะพานชาร์ลส์ยังมีอีกหลายขนาน ฉันบอกแล้ว กรุงปรากน่ะมีกลิ่นอายความลึกลับเจืออยู่  ระหว่างเดินไปบนสะพานมุ่งหน้าไปยังเขตเมืองเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปราสาทปรากคอมเพล็กซ์  เลยกึ่งกลางไปสักหน่อยให้สังเกตุรูปปั้นทางซ้ายมือให้ดี ๆ จะมีรูปปั้นยอดฮิต รูปปั้นของ St. John Nepomuk ที่ใครผ่านไปผ่านมาเป็นต้องหยุดแวะเข้าไปลูบคลำรูปภาพที่อยู่ตรงฐานด้านล่าง จนทำให้พื้นผิวบริเวณนั้นเป็นมันวาวจากฝีมือการขัดถูของนักท่องเที่ยวด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้โชคดี และได้กลับมาเยือนปรากอีกครั้งความเชื่อแรกนี่ไม่เท่าไหร่ แต่ข้อหลังนี่สิ ทำเอาฉันขอแทรกเข้าไปร่วมขบวนกับชาวบ้านชาวช่องลูบ ๆ คลำ ๆ ที่ฐานรูปปั้นกับเขาบ้าง
                เรื่องราวของ นักบุญเนโปมุก กับความเชื่อที่ว่าไม่น่าไปด้วยกันได้เลย เพราะความจริงแล้ว นักบุญเนโปมุกเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ในสมัยก่อนที่ราชินีของกษัตริย์เวนเซสลาสที่ 4 (คนละองค์กับ Good King Wenceslas ที่สร้างวิหารเซนต์วิตัส) มาสารภาพบาปด้วยเสมอ ครั้นกษัตริย์เกิดระแวงในตัวราชินีขึ้นมา ได้บังคับให้ท่านบอกความลับที่ราชินีได้มาสารภาพบาป นักบุญเนโปมุกได้ปฏิเสธ แม้ว่าจะถูกทรมานอย่างหนัก นั่นทำให้กษัตริย์กริ้วจัด สั่งให้ทหารมัดร่างแล้วโยนท่านทิ้งลงไปในแม่น้ำจากสะพานชาร์ลส์ นั่นทำให้ภายหลังเมื่อได้รับการยกย่องเป็นนักบุญ จึงได้มีการสร้างรูปปั้นของท่านไว้บนสะพาน





              เรื่องเล่าขานยังไม่จบ เสริมต่อกันว่าตอนที่นักบุญเนโปมุกถูกโยนลงแม่น้ำนั้น ช่วงสะพานบริเวณนั้นได้พังลง พยายามซ่อมแซมอย่างใดก็ไม่ได้ผล กระทั่งคนงานรายหนึ่งได้ทำสัญญากับปิศาจ ยินยอมมอบวิญญาณดวงแรกของคนที่เดินข้ามสะพานให้แก่ปิศาจถ้าสามารถซ่อมสะพานได้สำเร็จ  และเมื่องานซ่อมสะพานเสร็จสมบูรณ์  คนงานได้ขอให้ยามปล่อยไก่ให้ข้ามสะพานก่อนรุ่งเช้า ก่อนที่จะมีคนอื่นตื่นขึ้นมาทันได้ใช้สะพาน แต่ปิศาจย่อมเป็นปิศาจ ฉลาดและเจ้าเล่ห์ มันซ้อนกลโดยปลอมตัวเป็นผู้ช่วยคนงาน วิ่งไปหาภรรยาของคนงานเพื่อแจ้งข่าวว่าสามีของเธอประสบอุบัติเหตุ นั่นทำให้เธอรีบวิ่งตรงไปที่สะพาน ก่อนที่ยามจะทันได้ปล่อยไก่ นั่นทำให้วิญญาณของเธอกลายเป็นของปิศาจไปตลอดกาล…..
          ค่ำคืน…. แวะกลับมาที่ชาร์ลส์อีกครั้ง ตำนานเล่าขานเรื่องดวงวิญญาณล่องลอยส่งเสียงคร่ำครวญเหนือสะพานไม่อาจต้านทานนักท่องเที่ยวยุคดิจิตอลได้ สะพานชาร์ลส์ยังคงคราคร่ำด้วยผู้คน คราวนี้ ส่วนใหญ่มาเป็นคู่ ต้านลมหนาว ลมแรงด้วยกัน และที่ดูเหมือนเป็นอุปกรณ์เพิ่มเติมจากยามกลางวัน รวมทั้งฉันและเพื่อนร่วมบ้านด้วย คือขาตั้งกล้อง  จุดประสงค์ที่พ้องกัน…. เก็บรูปบรรยากาศชาร์ลส์ในยามค่ำคืน
        ขณะไหลตามนักท่องเที่ยวกลับไปยังที่พัก อดสงสัยไม่ได้ ชาร์ลส์จะได้หลับได้นอนกี่โมงยามกันเนี่ย         


 

15 มิถุนายน 2554

ทุ่งหญ้า และป่าสน อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง

หมายเหตุ... งานเขียนชิ้นนี้ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์

ทุ่งหญ้าสวันนา
                ได้ยินแล้วชวนให้นึกถึงภาพทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาในทวีปแอฟริกา แถมพ่วงด้วสัตว์น่าเกรงขามอย่างสิงโต สัตว์คอยาวโย่งโกะอย่างยีราฟ เดินเยื้องย่างไปมา.... นั่นเป็นอิทธิพลของสารคดีที่ฉายให้เห็นทางโทรทัศน์แท้ ๆ
                แล้วภาพดังกล่าวฉันกับเด็ก ๆ ก็ได้เห็นที่ด้านหลังที่พักอุทยานทุ่งแสลงหลวง ตรงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ หนองแม่นา
                ทุ่งหญ้ากว้างลิบ ๆ สีทอง มีไม้ใหญ่อย่างต้นสนสองใบที่ช่างเป็นต้นไม้ฟอร์มสวยเสียเหลือเกินในความรู้สึกของฉัน กระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆ  เหลืออย่างเดียวที่ขาดไป  คือไม่มีสัตว์ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้เห็นเท่านั้น
                รุ่งเช้าของที่นี่ในยามฤดูหนาว... เรียกเสียงกรี๊ดของเด็ก ๆ ได้ดี เหลือเกิน ด้วยโผล่หน้าออกไปนิดเดียว ก็เห็นหมอกหนาลอยอ้อยอิ่งปกคลุมไปทั่ว ทำให้ภาพต้นไม้ บ้านพัก ทางเดินรอบ ๆ ดูนุ่มนวล และมีมิติใกล้ไกล น้ำค้างเกาะพราวบนพื้นจนต้นหญ้าชุ่ม
                หมอก.... หมอก
                เสียงเด็ก ๆ ร้องลั่น
                อยู่บ้านน่ะเหรอ... น้าน นาน ถึงจะได้เห็นภาพหมอกหนาล้อเล่นกับทุ่งหญ้า ต้นไม้แบบนี้
                ไป... ไปเดินเล่นกัน ฉันกล่าวชวน
                เท่านั้นแหละ ตัวเล็กสองคนคึกคักเหลือเกิน รีบคว้าหยิบเสื้อกันหนาว กับหมวก แล้วเดินลุยออกไปสำรวจข้างนอก... อากาศดี สดชื่นอย่าบอกใคร  โดยเฉพาะเมื่อได้ย่ำไปด้านหลังบ้านพักเจอทางถนนที่ลุยเข้าไปในทุ่งหญ้า เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ต้นไม้ที่โผล่เด่นมาท่ามกลางไอหมอก อวดเค้าโครง กิ่งก้าน รู้สึกไปเองหรือเปล่า... ว่าชวนมองกว่ายามปกติ  จนแดดเริ่มไล้ไล่ไอหมอกนั่นแหละ จึงค่อยเดินกลับบ้านพัก





                ทุ่งหญ้าสวันนาแค่แถวบริเวณที่พักเป็นแค่ภาพยั่ว อยากเห็นทุ่งกว้าง ๆ สวย ๆ  ต้องขับรถลุยไปตามเส้นทางไปสู่ทุ่งนางพญา ซึ่งอยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ หนองแม่นา 14 กิโลเมตร ทางค่อนข้างลำบากสักหน่อย จะลุยเข้าไปได้ ต้องเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น
                ระหว่างทาง ได้เห็นป่าทุ่งหญ้าสีทองบนเนินลาดสูงต่ำ มีไม้ยืนต้นกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ  ลักษณะป่าทุ่งหญ้าแบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแห้งแล้งของพื้นที่ ที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืชจำพวกหญ้าที่มีวงจรชีวิตสั้น  และสะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ป่าบริเวณนี้เกิดไฟป่าบ่อยแน่นอน ทำให้ทำลายเมล็ดของไม้ใหญ่ไปเกือบหมด... สมกับที่ว่าต้นหญ้าเป็นต้นไม้ที่ช่างมหัศจรรย์ ต้นอะไรขึ้นไม่ได้ ฉันขึ้นก่อน  ค่อย ๆ นำพาความอุดม สมบรูณ์กลับสู่พื้นดิน และถ้าสามารถป้องกันไฟป่าได้อย่างจริงจัง ทุ่งหญ้ากว้างพวกนี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นป่าใหญ่ได้ต่อไปในอนาคต


                แล้วเราก็ไปถึงทุ่งนางพญา
                ทุ่งนางพญาต่างจากทุ่งแสลงหลวง ตรงมีต้นสนสองใบขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่
                เด็ก ๆ ชอบมาก วิ่งเข้าไปสำรวจด้านใน ต้นสนเป็นไม้ใหญ่ที่ลำต้นสูงตระหง่าน สง่า ชวนมอง ยิ่งยามแหงนมองเรือนยอดที่พุ่งขึ้นไปด้านบน จะได้เห็นเส้นสายของกิ่งก้านที่สมมาตรตัดกับฟ้าสีเข้ม
                ร่มเงาแห่งป่าสน
                นอกจากความสูงใหญ่ของสนจะให้ความร่มรื่นแล้ว ความรู้สึกสดชื่นที่คุณได้รับเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางป่าสนเกิดจากการที่ต้นสนมีสาร terpentile ที่ทำให้หายใจสะดวก  ป่าสนจึงเหมาะเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ...
                นั่นเป็นข้อความในแผ่นป้ายที่ทางอุทยานติดตั้งไว้
                สูดหายใจเข้าลึก ๆ  ไม่รู้อุปทานหรือย่างไร รู้สึกสดชื่น  ปลอดโปร่ง เนื้อตัว จิตใจ มันพองโตไปหมด หรือว่า... กำลังชิดใกล้กับผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ของโลก... ต้นไม้ ซะละมัง



                  ภายในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงครอบคลุมสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง แก่งวังน้ำเย็น แก่งหินขนาดใหญ่ที่สามารถลงเล่นน้ำได้อยู่ห่างจากที่พักไปประมาณ  7 กิโลเมตร  ทุ่งหญ้าโนนสนที่ว่ากันว่าในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน เป็นช่วงที่ดอกไม้นานาชนิดผลิบานเต็มทุ่ง อยู่ห่างจากที่พักไป 16 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินเข้าไปในทุ่งอีก16 กิโลเมตร  นั่นเป็นข้อมูลที่ได้จากที่ทำการอุทยาน น่าเสียดายว่า ไม่ยักมีหนังสือสวย ๆ คู่มือศึกษาธรรมชาติวางขายบ้างเลย  ฉันเคยซื้อหนังสือ คู่มือทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาหินแดง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง  เขียนโดย เพชร มโนปวิต จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร  อธิบายถึงผืนป่าห้วยขาแข้ง และเส้นทางเดินธรรมชาติเขาหินแดง  ว่าระหว่างทาง ผู้มาเยือนจะได้พบเจอกับสภาพป่าแบบไหน  เจอะเจอพรรณไม้ ต้นไม้ รวมถึงโอกาสที่จะได้เจอะเจอสัตว์อะไรบ้าง  อธิบายได้เข้าใจง่าย และภาพประกอบสวยแจ่มอย่าบอกใคร  ถึงไม่ต้องอยู่ในป่าห้วยขาแข้ง ฉันก็ยังหยิบมาอ่าน มาพลิกดูภาพประกอบอยู่เรื่อย ๆ   ถ้าอุทยานแห่งชาติของประเทศไทยทุกแห่งจัดทำหนังสือแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที่เข้ามาท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ เข้าใจถึงวงจรชีวิตทางธรรมชาติ มีความรู้เรื่องราวของพรรณไม้ และสภาพผืนป่าในประเทศได้ดียิ่งขึ้น
                ...
                การมาเที่ยวกับเด็ก ๆ  ที่พลังงานเหลือเฟือต้องคอยหากิจกรรมให้ทำไม่ให้อยู่นิ่ง  ช่วงเช้า ๆ เย็น ๆ ที่อากาศกำลังดี  เด็ก ๆ พากันไปเช่าจักรยานขี่วนรอบบริเวณที่พัก  ทางที่ลาดขึ้น ๆ ลง ๆ ทำเอาสนุกกันใหญ่  นอกจากการขี่จักรยานแล้ว  กิจกรรมอีกอย่างที่สนุกไม่น่าเชื่อคือการก้ม ๆ เงย ๆ เก็บลูกสน
                ต้นสนนอกจากจะมีฟอร์มต้นที่สวยงามแล้ว ลูกสนที่หล่นตกใต้ต้นที่มีลักษณะเป็นโคนรูปกรวย ประกอบด้วยเกล็ดแตกอ้าเป็นกลีบแข็ง ๆ คล้ายกลีบดอกไม้ที่ติดอยู่ตรงแกนกลาง ดึงดูดไม่แพ้กัน แรก ๆ ที่เห็น เด็ก ๆ เก็บมาดูอย่างสงสัย ว่าคืออะไร... ก่อนสรุปง่าย ๆ ว่าสวยดี  จากนั้นจึงพากันไปเดินเก็บลูกสน เลือกที่สวย ๆ กลีบที่แตกอ้าครบถ้วน สมบูรณ์ แข่งกันว่าใครจะเก็บลูกสนได้มากกว่ากัน และลูกสนของใครจะสมบูรณ์สวยกว่ากัน
                จากนั้น กิจกรรมการเก็บลูกสนเริ่มบรรเจิดกว่าเดิม
มีการเลื่อนถังขยะมาวางตรงตำแหน่งเหมาะ ๆ เพื่อแข่งกันโยนลูกสนลงถัง
ลงบ้าง ไม่ลงบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยลงกันหรอก
แล้วจู่ ๆ เจ้าตัวโตก็ปิ๊งวาบขึ้นมา บอกพ่อกับแม่ว่า ลูกสนเวลาโดนน้ำแล้วกลีบที่เป็นเกล็ดแตกอ้าจะหุบลง  พอแห้งแล้วกลีบที่หุบจะกลับมาบานใหม่
                ทำเอาพ่อกับแม่หูผึ่ง  ไปรู้จากไหนเนี่ย ?
                เจ้าตัวโต ทำหน้าฉงนมองพ่อกับแม่
                จะรู้จากไหน... ที่รู้ก็จากการอ่านทั้งนั้นแหละ
                ฟังดูดีเนอะ  พ่อกับแม่ยังไม่รู้เลย  อย่างนี้ต้องทำการทดลองกันสักหน่อย
ทดลองครั้งแรกไม่ได้ผล เพราะคิดว่าลูกสนแค่เปียกน้ำก็พอแล้ว แต่นั่นไม่พอต้องแช่ลูกสนทั้งลูกลงไปในน้ำ  แล้วต้องใช้เวลาด้วยนะ ไม่ใช่จุ่มพรวดแล้วหยิบขึ้นมา แล้วไม่น่าเชื่อ...กลีบแข็ง ๆ ที่บานออกได้หุบลงมาแนบกับแกนกลางจริง ๆ ด้วย
เจ้าตัวโตตื่นเต้น  ลูกสนมันตายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมันยังหุบได้ละ
ไม่ใช่แค่กลีบหุบ พอปล่อยให้ลูกสนแห้งสนิทกลีบที่หุบก็กลับมาบานได้ใหม่จริง ๆ ด้วย
มันตายแล้วไม่ใช่ ทำไมมันยังทำยังงี้ได้ล่ะ 
เอ้า... แล้วในหนังสือไม่ได้บอกไว้หรือไง  ถึงคราวพ่อกับแม่ถามบ้าง
ไม่รู้ เจ้าตัวโตส่ายหน้า  จำไม่ได้ว่าบอกไว้หรือเปล่า
                กลายเป็นภาระที่หลังจากจบการเดินทางแล้ว ต้องมาหาคำตอบของการทดลอง ว่าทำไมลูกสนที่หล่นร่วงจากต้นแล้ว ถึงยังคงหุบและบานได้?
                และนี่คือคำตอบ
                ลูกสนที่หล่นร่วงจากต้นแล้วจะยังคงรักษากลไกสมัยที่ยังทำหน้าที่เป็นอวัยวะช่วยในการแพร่พันธุ์ของต้นไม้ โดยในช่วงที่เมล็ดยังไม่สมบูรณ์ เกล็ดของลูกสนจะหุบสนิทเพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดร่วงหล่นออกมา กระทั่งเมล็ดสมบูรณ์พร้อมในสภาพที่อากาศแห้ง เกล็ดจะบานออกเป็นการปลดปล่อยเมล็ดที่ห่อหุ้ม เมื่อทำหน้าที่
โปรยปรายเมล็ดเรียบร้อย ลูกสนจะหลุดร่วงจากขั้ว และตราบใดที่ลูกสนนั้นยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์  จะยังคงหุบเกล็ดที่แตกอ้าเมื่อได้รับน้ำ และเกล็ดจะบานออกอีกครั้งเมื่อแห้งสนิท เป็นเช่นนั้น ทั้งที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนต้นอีกแล้ว
                และ... เป็นจริงเสียด้วยที่ว่าตราบใดที่ลูกสนยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์  เกล็ดจะหุบเมื่อได้รับน้ำ และบานอีกครั้งเมื่อแห้งสนิท  เพราะเมื่อกลับถึงบ้าน ฉันได้ลองหยิบเอาลูกสนที่เคยเก็บมาจากต่างประเทศเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมาทดสอบ และน่าทึ่ง ที่ลูกสนลูกนั้นเกล็ดยังคงบานและหุบได้เช่นเดียวกับลูกสนที่หล่นร่วงจากต้นใหม่ ๆ ที่ทุ่งแสลงหลวง


8 มิถุนายน 2554

World Expo ที่เซี่ยงไฮ้

หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ถือว่าเป็นงานต่อเนื่องจาก เซี่ยงไฮ้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์ ตอนนั้นเดินทางมาเซี่ยงไฮ้ก่อนหน้างานเอ็กซ์โป หากคราวนี้มีโอกาสได้เที่ยวชมงานเอ็กซ์โปจริง ๆ งานเขียนชิ้นนี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Herb for Health

เจ้าตัวการ์ตูนสีฟ้าที่ยืนตาโตยิ้มกว้างขวาง อวดผมที่แหงนตวัดเหมือนคลื่นแห่งท้องทะเล..... เจ้าตัว Hai Baoหรือเจ้าขุมทรัพย์แห่งท้องทะเล สัญลักษณ์ของงานเวิล์ดเอ็กซ์โป 2010 ยืนทักทายผู้คนทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ฉันได้มีโอกาสมาเยือนที่นี่
           ครั้งนั้น ตอนยืนอยู่หน้า  Shanghai Urban Planning Exhibition Center”  “ศูนย์แสดงงานผังเมืองนครเซี่ยงไฮ้  เจ้าตัวขุมทรัพย์แห่งท้องทะเล กำลังนับถอยหลังเป็นตัวเลขอิเล็กทรอนิกส์สีแดง ให้ผู้คนที่ผ่านไปมารู้ว่าอีกกี่วันจะถึงวันงานเวิร์ลเอ็กซ์โป  และครั้งนั้นอีกนั่นแหละ นอกจากจะได้เห็นเจ้าตัวขุมทรัพย์แห่งท้องทะเล ยืนยิ้มต้อนรับไปทั่วเมืองแล้ว  เซี่ยงไฮ้กำลังวุ่นวาย  ด้วยอยู่ในช่วงเร่งรีบที่จะแปลงกายจากตัวหนอนให้กลายเป็นผีเสื้อ... ปกติการผลัดเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเมืองนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา  แต่เพื่อเป็นเจ้าภาพงานใหญ่ การเปลี่ยนแปลงคราวนี้จึงเร่งรัด  มีการย้ายโรงงานออกจากพื้นที่ที่จะใช้จัดงานถึง  270 โรง  ย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่ 18,000 ครัวเรือน และมีการสร้างเส้นทางเดินรถไฟใต้เดินเพิ่มอีก  6 สาย  ไม่ว่าหันมองไปทางไหน จึงเห็นแต่งานก่อสร้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหาดไว่ทัน  (Waitan)  ริมแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu)  อันเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของตัวเมือง แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านและแยกตัวเมืองออกเป็นสองฟาก  ได้แก่ฝั่งผู่ตง (Pudong) และฝั่งผู่ซี (Puxi) ฝั่งผู่ตงนั้นเป็นย่านทันสมัย เต็มไปด้วยตึกระฟ้า  ไม่ว่าจะเป็นหอคอยไข่มุกสีชมพู  (Oriental Pearl Television Tower)   ตึกจินเหมา (Jin Mao Building) ตึกเซี่ยงไฮ้เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซ็นเตอร์ (Shanghai World Financial Center -SWFC)  ตึกเหล่านี้ล้วนสูงเกินกว่า 400 เมตรทั้งสิ้น  ส่วนฝั่งผู่ซี นั้นเป็น เขตเมืองเก่า เป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาทำการค้าขายกับจีนในช่วงปี ค.ศ. 1920  ถือเป็นที่ตั้งทำการของบริษัทข้ามชาติแห่งแรกของเอเชียเลยทีเดียว สถาปัตยกรรมของอาคารในย่านนี้ จึงเก่าแก่ และคลาสสิคแบบยุโรปสมัยก่อน
ทันทีที่เราสองคนโผล่หน้าไปยังถนนเลียบชายหาด ด้วยตั้งใจจะรอชมแสงไฟสว่างไสวของบรรดาตึกระฟ้าเขตฝั่งผู่ตงในเวลาค่ำคืน จึงต้องผิดหวังเมื่อเจอเข้ากับแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่วางกั้นเป็นเขตก่อสร้างไปตลอดชายหาด ทำให้ต้องเดินเบี่ยงเส้นทางไปยังสะพานใกล้ ๆ  ที่แม้จะคับแคบเต็มไปด้วยผู้คนที่คิดแบบเดียวกัน แต่ด้วยพื้นที่สะพานที่ยกสูงขึ้น  ทำให้สามารถมองข้ามเหล็กกั้นจนเห็นตึกระฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟที่ประดับประดาของฝั่งผู่ตงจนได้...


 เมืองเซี่ยงไฮ้ยังคงเติบโตไม่หยุด การจัดงาน world expo เป็นหลักไมล์หนึ่งในการแสดงศักยภาพ
แต่.. เมืองทุกแห่งล้วนมีรากเหง้า และมีทิศทางที่จะดำเนินต่อไป
ศูนย์แสดงงานผังเมืองนครเซี่ยงไฮ้ ที่ฉันหยุดยืนมองเจ้าตัวขุมทรัพย์ท้องทะเล นับถอยหลังถึงวันจัดงาน ได้ทำหน้าที่ในการเก็บรากเหง้าของตัวเมืองและทิศทางที่จะเป็นไปของเมืองเซี่ยงไฮ้กระทั่งถึงปี 2020
ด้านในได้เก็บภาพบันทึกอาคาร สถานที่ ย่านที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ของเซี่ยงไฮ้ในอดีตผ่านแผ่นภาพที่จัดวางแสดงตามตู้ไฟ และสมุดเล่มยักษ์พร้อมคำบรรยายประกอบ และได้แสดงภาพเมืองเซี่ยงไฮ้ในอนาคตผ่านแบบจำลองที่ยกทั้งเมืองเซี่ยงไฮ้มาวางแสดง ให้เห็นกันจะ ๆ ว่าในอนาคตเมืองแห่งนี้จะขยายพื้นที่ไปถึงไหน และแต่ละย่านจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร
และเมื่ออยู่ระหว่างการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพ  มุมหนึ่งของด้านใน จึงได้แสดงเรื่องราวการเตรียมการเป็นเจ้าภาพงานเวิล์ดเอ็กซ์โปที่จะมาถึง
เริ่มจากแบบจำลองผังเมืองบริเวณที่จะจัดงานแสดง และอาคารสำคัญ ๆ ที่จะได้อวดโฉมในวันงาน
ที่เด่นแตะตาคือศาลาจีน ในฐานะเจ้าภาพจัดงานจึงทุ่มเทเต็มที่  รูปแบบอาคารเป็นโครงไม้ที่อวดลักษณะการก่อสร้างแบบเสาและคานที่ยึดโยงกันโดยไม่ต้องใช่ตะปู อันเป็นลักษณะเด่นของการก่อสร้างแบบจีนดั้งเดิม ตัวอาคารทาสีแดงสด นัยว่าสีแดงนั้นคือสีแห่งพระราชวังต้องห้าม เพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณ และความเป็นจีน  นอกจากนั้นยังมีแบบจำลองของอาคาร  Performance Center    Theme Pavilion  และ Expo Center ที่ออกแบบตามสมัยนิยม
พ้นจากแบบจำลองเป็นภาพแสดงศาลาของประเทศต่าง ๆ ที่จะร่วมอวดโฉมในงาน ภายใต้แนวคิดหลัก “ Better City, Better Life” .... เมืองที่ดีกว่า เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อแสดงถึงแนวการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมมนุษย์ในศตวรรษที่ 21  ที่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและธรรมชาติให้มากยิ่งขึ้น การออกแบบศาลาจัดงานแสดงของแต่ละประเทศ จึงคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก  มีการกำหนดเรื่องการอนุรักษ์พลังงานเป็นเรื่องสำคัญ   
นั่นเป็นการเยือนเซี่ยงไฮ้ของฉันเมื่อปีที่แล้ว... เป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน หากคราวนี้เวลาแห่งการเตรียมตัวผ่านพ้นไปแล้ว... คราวนี้ฉันจะได้เข้าชมงานเวิล์ดเอ็กซ์โปของจริง หลังจากที่ได้เห็นแบบจำลองของบางศาลาในศูนย์แสดงงานผังเมืองฯ
สารภาพ... นอกจากข้อมูลที่ว่ากันว่างานเวิล์ดเอ็กซ์โปเป็นงานมหกรรมโลก ที่ยิ่งใหญ่เป็นลำดับ 3 รองจากการแข่งขันโอลิมปิก และการแข่งขันฟุตบอลโลกแล้ว ฉันนึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าในแต่ละศาลา หรือที่เรียกทับศัพท์กันว่า pavilion ของแต่ละชาติจะอวด เนื้อหาสาระภายใต้แนวคิดที่ว่า เมืองที่ดีกว่า ชีวิตที่ดีกว่า  อย่างไร  




ทันที่ที่ก้าวเข้าไปในเขตงาน  มึนงงกับพื้นที่จัดงานอันใหญ่โต ครอบคลุมอณาบริเวณถึง 5.28 ตารางกิโลเมตร  ประกอบด้วยศาลาจากประเทศต่าง ๆ และองค์การระหว่างประเทศ ถึง 242 ศาลา (192 ประเทศ และ 50 องค์การระหว่างประเทศ) ... แต่ทางเจ้าภาพเตรียมการไว้อย่างดี มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครยืนแจกแผนที่ให้ผู้เข้าชมงานตรงบริเวณทางเข้า เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการวางแผนการเดินชมงาน  โดยพื้นที่จัดงานได้แบ่งออกเป็นโซน ๆ  โดยโซน A เป็นศาลาประจำชาติของประเทศในทวีปเอเชีย ยกเว้น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โซน B เป็น ศาลาของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ประเทศแถบโอเชียนเนีย และศาลาขององค์การระหว่างประเทศ และโซน C เป็น ศาลาของประเทศในทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา

จำนวนศาลาที่มากมาย และพื้นที่จัดงานที่กินอาณาเขตกว้าง ไม่ต้องคาดหวังเลยว่าจะชมงานได้ทั่วถ้วน นั่นทำให้ประสบการณ์การเข้าชมงานเวิล์ดเอ็กซ์โปของแต่ละคนล้วนต่างกันไป เพราะเส้นทางการเข้าชมงานย่อมไม่เหมือนกันแน่
ฉันนั้นเลือกที่จะชมงานในโซน C เป็นหลัก และได้เข้าชมศาลาที่ร่วมแสดงในงานจำนวน  6 ศาลา
ศาลาของประเทศเดนมาร์กนั้นน่าสนใจ  ยืนมองจากด้านนอกเห็นเป็นรูปวงแหวนที่เวียนขึ้นไปด้านบน ที่ชวนน่าสนุกคือมีคนขี่จักรยานยืนอยู่บนดาดฟ้า ชวนให้ฉงนว่ามีแก๊งค์จักรยานใส่หมวกกันน็อคสีขาวไปยืนอยู่บนนั้นได้อย่างไร    คำเฉลยอยู่ตรงด้านหน้าบริเวณทางเข้า มีจักรยานสีขาวรูปแบบเดียวกันวางเรียงราย  เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่จะเข้าชมด้านใน  ว่าจะใช้วิธีขี่จักรยาน หรือจะเดินเข้าไป  ที่แท้ศาลารูปวงแหวนที่เห็น  เจตนาที่จะเวียนเป็นทางขึ้นให้สามารถรองรับทั้งสองล้อ และสองเท้า เป็นการนำเสนอที่สอดคล้องกับคำประกาศของประเทศเดนมาร์กเองว่า  “Cars are so last year . Bikes are so right now” รถน่ะเป็นเรื่องของหลายปีก่อน แต่เดี๋ยวนี้ต้องจักรยานเท่านั้น ประเมินกันว่าการจราจรเป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 75% ฉะนั้นถ้าเปลี่ยนวิธีสัญจรกันด้วยจักรยาน จะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกกไซด์ได้มหาศาล และเมืองโคเปนเฮเกนก็เลือกที่จะใช้วิธีนั้น เปลี่ยนเส้นทางที่การจรารจรหนาแน่น เป็นเส้นทางสำหรับจักรยาน ผลพลอยได้นอกจากอากาศจะสะอาดขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ว่างในตัวเมือง


            เมื่อเข้าไปด้านในถึงเห็นว่าทางที่เวียนขึ้นไปนั้นโอบล้อมสระน้ำที่อยู่ตรงกลาง และมีเงือกน้อยนั่งอยู่ริมสระทักทายผู้มาเยือน  นั่นเป็นรูปปั้นนางเงือกที่โด่งดังจากปลายปากกาของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวโคเปนเฮเกน สัญลักษณ์ของประเทศ ตัวจริง เสียงจริง ที่ชาวเดนมาร์กได้พาเธอมาเยือนเซียงไฮ้ ... และคำจำกัดความที่พวกเขาตั้งสำหรับศาลาแห่งนี้คือ “Welfairytales”  ฉันชอบนะ...  ดินแดนที่น่าอยู่ก็เปรียบเสมือนดินแดนในเทพนิยายนั่นแหละ


                   ถ้าเงือกน้อยเป็นประดุจสัญลักษณ์การต้อนรับของเดนมาร์ก  ประเทศสวีเดนก็ใช้หนูน้อยปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว  ตัวละครเอกในวรรณกรรมเยาวชนชื่อดังของประเทศเป็นหนึ่งในผู้นำเสนอแนวคิด เมืองที่ดีกว่า ชีวิตที่ดีกว่า ของชาวสวีเดน  ....ปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลายล้วนเกิดจากมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมนุษย์นี่แหละต้องเป็นผู้แก้ปัญหาดังกล่าว  ศาลาของประเทศสวีเดน จึงนำเสนอให้เห็นว่า พวกเขาดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า  ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของพวกเขาล้วนชูประเด็นในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นวอลโว่ที่ให้ความสำคัญต่อการใช้เครื่องยนต์ไฮบริด ที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปถึง 30%  ผลิตภัณฑ์ตลับลูกปืนของ SKF ที่มีขนาดเบา ช่วยลดการใช้พลังงาน  ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ ของไอเคีย ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล และ... อีกหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ที่คงกล่าวถึงได้ไม่ครบ




                ที่สำคัญ สภาพแวดล้อมที่ดีภายในตัวเมือง รวมไปถึงการมีพื้นที่สำหรับการละเล่นส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ และเจ้านวัตกรรมนี้แหละที่จะย้อนกลับมายกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไปอีก
               อีกหนึ่งศาลาที่ฉันได้เข้าไปชมคือศาลาประเทศไอร์แลนด์  ศาลาแห่งนี้เน้นอวดวัฒนธรรม ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสความสวยงามของชีวิตริมน้ำ และถนนสายสำคัญของเมืองดับลิน รวมถึงโฉมหน้าคนดังที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศ  ผ่านแผ่นภาพขนาดใหญ่ และการฉายภาพบนจอยักษ์ เป็นศาลาที่ใช้พื้นที่มหาศาลทีเดียว แต่กลับให้ความรู้สึกดึงดูดน้อยกว่าประเทศเดนมาร์กและสวีเดน สะท้อนให้เห็นว่าสาระที่สื่อจะทวีความน่าสนใจหากมีวิธีการนำเสนอที่ชาญฉลาด


               กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ศาลาของประเทศสวิสเซอร์แลนด์สะดุดตาด้วยม่านที่มีแผ่นกลมสีแดงติดอยู่ ม่านดังกล่าวทำจากไฟเบอร์ถั่วที่สามารถสลายตัวเองได้ ส่วนแผ่นกลมสีแดงเป็นโซล่าเซลล์เก็บพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในเวลากลางคืน  หากเมื่อเข้าไปชมด้านในเนื้อหาและเรื่องราวที่นำเสนอกลับไม่น่าสนใจเท่าด้านนอก อีกทั้งจุดขายของศาลาที่เป็นรถเคเบิ้ลพาผู้ชมจากด้านในศาลาขึ้นไปบนดาดฟ้าด้านบนเพื่อชมธรรมชาติอันงดงามที่ขึ้นชื่อของสวิสเซอร์แลนด์นั้นปิดให้บริการทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลงไปแยะเชียว

หลังจากเดินเข้า เดินออก และดูบรรยากาศงานสักพัก จากที่นึกภาพไม่ออกว่างานเวิล์ดเอ็กซ์โปคืออะไร  พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่า เป็นงานที่เปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้อวดบ้านอวดเมืองของตนเองน่ะเอง จะอวดด้วยศิลปะ วัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่  ความทันสมัยของเทคโนโลยี แล้วแต่ที่ต้องการจะมุ่งเน้น แถมยังเป็นโอกาสได้ตอกย้ำผลิตภัณฑ์ และแบรนด์ของตนเองต่อสาธารณะไม่ว่าจะสวีเดน ที่ยกโขยงผลิตภัณฑ์ที่เป็นรู้จักกันดีอย่างไอเคีย วอลโว่ อิเล็กทรอลักซ์  Absolute Vodka  ฯลฯ  ที่คุ้นเคยจนสับสนว่าเป็นผลิตภัณฑ์สัญชาติใดกันแน่มาอวดโชว์  สำหรับฟินแลนด์ เองมีโนเกีย  เดนมาร์กมีเบียร์คาร์ลเบิร์ก และสวิสเซอร์แลนด์มีบริษัทผลิตอาหารรายใหญ่อย่างเนสท์เล่ และนาฬิกาแบรน์ดดังอย่างสวอทช์
ขณะเดินออกจากพื้นที่จัดงานแสดง เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือจะรถแท็กซี่ก็ตามแต่เพื่อกลับที่พัก  ทึ่งกับการบริหารจัดการของจีนที่สามารถจัดงานรับมือกับผู้คนจำนวนมหาศาลที่วันหนึ่ง ๆ เข้าชมงานในหลักหลายแสน แต่มีสิ่งเล็ก ๆ ที่ฉันแอบทึ่ง (ไม่รู้มีใครคิดเหมือนฉันหรือเปล่า) คือเรื่องของห้องน้ำ  ประสบการณ์แรกที่ฉันเคยมาเมืองจีนเมื่อหลายปีที่แล้ว เรื่องของห้องน้ำเป็นเรื่องชวนปวดหัวที่สุด ตั้งแต่ความสะอาด กลิ่นที่อบอวล ทั้งคนจีนเองไม่ชอบปิดห้องน้ำระหว่างทำธุระ  ทำให้หลายครั้งที่เปิดผลั๊วะเข้าไป  ได้ประสานสายตากับคนข้างในจนปิดประตูแทบไม่ทัน เท่านั้นไม่พอ เสียงเล้งด่ายังดังตามหลังมาอีก ทั้งที่ความจริงเป็นความผิดใคร (ฟ่ะ)  และสุดท้าย คนจีนไม่ชอบกดน้ำ จริง ๆ นะ  และไอ้ที่ไม่ชอบกดน้ำนี่แหละ ต้นเหตุของกลิ่นสุดทน
 แต่คราวนี้ห้องน้ำในงาน world expo สะอาดใช้ได้เลย ฉันไม่เจอปัญหาเรื่องคนจีนไม่ปิดห้องน้ำระหว่างใช้งาน  ทั้งไม่เจอปัญหาเรื่องไม่ยอมกดน้ำหลังเสร็จธุระ  นั่นเป็นเพราะน้ำในชักโครกจะกดทำความสะอาดเองโดยอัตโนมัติ เมื่อคนใช้เสร็จธุระเปิดประตูออกมา
อย่างว่า... เป็นเจ้าภาพงานเวิร์ลเอ็กซ์โปทั้งที่ สุขลักษณะพื้นฐานไม่ดีขึ้นได้อย่างไร (จริงมั้ย)